JMART-JMT ดีดแรงจัดนำกลุ่มตอบรับผลงาน Q2/67 ดีกว่าคาด-ราคาลงมามากแล้ว

หุ้น ตลาดหุ้น Stock

JMART – JMT ราคาพุ่งนำกลุ่ม เมื่อเวลา 10.15 น.

JMT ปรับขั้น 20.20% เพิ่มขึ้น 2.00 บาท มาที่ 11.90 บาท มูลค่าซื้อขาย 256.76 ล้านบาท

JMART ปรับขั้น 21.98% เพิ่มขึ้น 2.00 บาท มาที่ 11.10 บาท มูลค่าซื้อขาย 175.30 ล้านบาท

SINGER ปรับขั้น 13.85% เพิ่มขึ้น 0.90 บาท มาที่ 7.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 60.06 ล้านบาท

SGC ปรับขั้น 13.39% เพิ่มขึ้น 0.15 บาท มาที่ 1.27 บาท มูลค่าซื้อขาย 21.27 ล้านบาท

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่ม บมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) และ บมจ.เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ปรับตัวสูงขึ้นมาก เนื่องจากผลประกอบการในไตรมาส 2/67 ออกมาดีกว่าตลาดคาด

JMT กำไรสุทธิ 367 ล้านบาท ขณะที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 283 ล้านบาท ส่วน JMART ในไตรมาส 2/67 พลิกมีกำไรสุทธิ 340 ล้านบาท จากขาดทุน 611 ล้านบาทในไตรมาส 2/66 และดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ 137.6 ล้านบาท

อีกทั้งราคาหุ้น JMART และ JMT ก็รับตัวลงแรงในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา วันนี้ ราคาจึงดีดกลับ

ขณะที่หุ้น บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) และ บมจ.เอสจี แคปปิตอล (SGC) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม JMART ก็รับ Sentiment เชิงบวกตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า JMT ประกาศกำไรไตรมาส 2/67 ที่ 367 ล้านบาท อ่อนตัว 12%QoQ และ 33%YoY ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ โดยแนวโน้มการอ่อนตัวที่ต่อเนื่องจากไตรมาส 1/67 มาจากยอดจัดเก็บที่อ่อนตัวราว 9%QoQ มาอยู่ที่ราว 1,309 ล้านบาท ถือเป็นยอดจัดเก็บรายไตรมาสที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปี คาดว่าอาจมีผลมาจากปัจจัยทางด้านฤดูกาลด้วยส่วนหนึ่ง (มีวันหยุดยาวช่วงเดือน เม.ย. และการใช้เงินในช่วงเปิดเทอมในเดือน พ.ค.) และปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจอีกส่วนหนึ่ง ทำให้ความสามารถชำระหนี้ของภาคครัวเรือนลดลง โดยเฉพาะในส่วนที่ชำระหนี้ปิดบัญชี

ด้านต้นทุนในการให้บริการปรับเพิ่มขึ้น 8%QoQ และ 27%YoY โดยหลักเป็นการเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดีตามกลยุทธ์ของบริษัทที่เร่งฟ้องคดีเพื่อให้ลูกหนี้กลับมาเจรจา และอีกปัจจัยกดดันหลักในไตรมาสนี้มาจากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่อยู่ที่ 236 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25%QoQ และ 324%YoY ซึ่งเป็นผลจากยอดจัดเก็บที่ทำได้ต่ำกว่าประมาณการ

คงประมาณการกำไรของ JMT ทั้งปี 67 ที่ 1,549 ล้านบาท (-23%YoY) โดยกำไรงวด H1/67 คิดเป็น 51% ของประมาณการทั้งปี กำไรงวด H2/67 อาจเห็นการฟื้นตัวได้บ้าง หลังยอดจัดเก็บจากลูกหนี้อาจกระเตื้องขึ้นจากส่วนที่มีการฟ้องคดี ซึ่งอาจทำให้แนวโน้มสำรองหนี้ลดลงตามไปด้วย แต่ยังมีปัจจัยกดดันกำไรเช่นกัน คือ ค่าใช้จ่ายจากการฟ้องคดีที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปจนถึงปี 68

แม้มองว่าอาจยังไม่ฟื้นตัวระยะสั้น แต่ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว โดยคงราคาเป้าหมายที่ 17 บาท อิง PBV 0.85 เท่า ราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงมาค่อนข้างมากสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ทั้งในแง่ของ Forward PER (2567) ที่ 8.7 เท่า และ Forward PBV (2567) ที่ 0.51 เท่า จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ในเชิงพื้นฐาน อย่างไรก็ตามราคาหุ้นยังขาดปัจจัยหนุนที่จะช่วยให้เห็นการฟื้นตัวในระยะสั้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ส.ค. 67)

Tags:
Back to Top