IVL ไตรมาส 2/67 พลิกขาดทุนกว่า 2 หมื่นลบ.รับผลตั้งด้อยค่าเงินลงทุน มั่นใจครึ่งปีหลังฟื้นรับดีมานด์โต

บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 ขาดทุนสุทธิ 2.3 หมื่นล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 411.13 ล้านบาท

สรุปผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67

– ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และเพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบปีต่อปี เท่ากับ 3.64 ล้านตัน

– Adjusted EBITDA เท่ากับ 370 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และลดลง 11% เมื่อเทียบปีต่อปี

– กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเท่ากับ 494 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 168% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และ -1% เมื่อเทียบปีต่อปี

– สัดส่วนหนี้สินจากการดำเนินงานสุทธิต่อ Adjusted EBITDA เท่ากับ 3.97 เท่า

– กำไรต่อหุ้นเท่ากับ -4.13 บาท และ กำไรหลักต่อหุ้น (ปรับปรุง) เท่ากับ 0.18

IVL ระบุว่า รายได้ในไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 5% จากไตรมาสก่อนหน้าและทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของปริมาณยอดขายเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน และ1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา ทำให้ยอดขายอยู่ที่ 3.64 ล้านตันในไตรมาส 2/67

Adjusted EBITDA เท่ากับ 370 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาส 2/67 เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และลดลง 11% เมื่อเทียบปีต่อปี ปริมาณขายของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ซบเซา แต่ยังมีสัญญาณสิ้นสุดของช่วงเวลาการระบายสต็อกที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 65 อัตราการผลิตในช่วงครึ่งแรกของปี 67 เพิ่มขึ้นจาก 74% เป็น 76% หรือ 81% หากนำผลของการปรับปรุงสินทรัพย์มาพิจารณาร่วมด้วย แม้ว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตก็ตาม ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา

กลุ่มธุรกิจ Indovinya มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากส่วนต่างกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้นและอุปสงค์ที่ฟื้นตัวขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์ซึ่งเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Indovida ก็มีผลการดำเนินงานที่ดีเช่นกัน เนื่องจากมีฐานการผลิตชั้นนำในตลาดเกิดใหม่

เมื่อมองไปข้างหน้า IVL มีแรงหนุนจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นจากระดับสินค้าคงคลังของลูกค้าที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นให้ปริมาณขายของทุกกลุ่มธุรกิจเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 67 บริษัทคาดว่าจะได้รับประโยชน์ในช่วงครึ่งหลังของปี จากข้อได้เปรียบของ Shale Gas ในประเทศสหรัฐอเมริกา เห็นได้จากส่วนต่างกำไรสำหรับโรงกลั่นเอทิลีน (ethylene) ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจ MEG แบบบูรณาการของบริษัท นอกจากนี้ ราคาสินค้านำเข้าที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องในตลาดตะวันตก ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ในฐานะผู้ประกอบการชั้นนำในภูมิภาค

ขณะที่อุตสาหกรรมโพลีเอสเตอร์กำลังเผชิญกับภาวะขาลง ทีมผู้บริหาร IVL กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อลดภาระหนี้และเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ IVL 2.0 เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและขับเคลื่อนคุณภาพของรายได้ในยุคที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ตามที่ได้ระบุไว้ในงาน Capital Markets Day เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ของปีนี้ และยืนยันอีกครั้งในรายงานความคืบหน้าช่วงกลางปี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม บริษัทฯ มีความคืบหน้าอย่างมากสำหรับการดำเนินกลยุทธ์ IVL 2.0 ในไตรมาส 2/67 โดยได้บันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์และตั้งสำรองค่าใช้จ่ายจำนวน 666 ล้านเหรียญสหรัฐ (ซึ่งจำนวน 543 ล้านเหรียญสหรัฐไม่ใช่เงินสด) ภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์เพื่อปรับปรุงการผลิตและลดค่าใช้จ่ายคงที่ ซึ่งจะเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ไตรมาส 3/67 เป็นการประหยัดต้นทุนได้จำนวน 170 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 68 ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์ที่เหลือจะไม่ก่อให้เกิดการด้อยค่าที่เป็นสาระสำคัญ

ฝ่ายบริหารยังคงมุ่งมั่นในการจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงโครงการ Olympus 2.0 โดยความพยายามเหล่านี้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในครึ่งแรกของปี 67 (29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 2/67) บริษัทฯ ยังคงเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยลงทุนในโครงการที่สนับสนุนด้านความยั่งยืน อาทิ โรงงานรีไซเคิลในอินเดีย ระบบทำงานอัตโนมัติ เทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่กำลังดำเนินการ

ส่วนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงของ IVL คือการนำเครื่องมือดิจิทัลและ AI ใหม่ๆ มาใช้เพื่อขับเคลื่อนความเป็นเลิศในการดำเนินงานในด้านหลักๆ ซึ่งรวมถึงการผลิต การพาณิชย์ การจัดซื้อ การขาย การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการเงิน ปัจจุบัน ส่วนสำคัญๆ ในการดำเนินงานมีแพลตฟอร์มบริหารทรัพยากรทั่วทั้งองค์กร SAP S/4HANA เป็นแกนกลางทางดิจิทัล ขณะเดียวกันจะมีการนำตัวโซลูชั่นชั้นนำระดับโลกอื่นๆ มาปรับใช้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนไปจนถึงปี 69

นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฯ IVL กล่าวว่า “เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวังจากการที่เราเห็นการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในสภาพแวดล้อมการดำเนินงานของอุตสาหกรรมของเราแม้ว่าจะยังคงมีความท้าทายที่สำคัญที่ยังคงดำเนินไปตลอดวัฏจักร ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา เราได้สร้างเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในองค์กรของเรา รวมถึงการเสริมสร้างทีมผู้นำของเราและมอบอำนาจให้พวกเขาในการขับเคลื่อนโครงการสำคัญต่างๆ ภายใต้กลยุทธ์ IVL 2.0 ของเรา ซึ่งมีเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน และไม่เพียงแต่ช่วยให้เราจัดการกับภาวะชะลอตัวในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังช่วยเตรียม IVL ให้พร้อมสำหรับยุคใหม่ของการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย”

ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ

กลุ่มธุรกิจ Combined PET (CPET) ซึ่งรวมถึงเคมีภัณฑ์กลางน้ำ มี Adjusted EBITDA เท่ากับ 234 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาส 2/67 ลดลง 6% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และลดลง 25% เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องมาผลกระทบที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากโครงการ NDC ในไตรมาส 1/67 และการลดลงของสเปรดอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ Integrated PET นอกจากนี้ การหยุดดำเนินการของโรงกลั่นที่ Lake Charles ประเทศสหรัฐอเมริกา ยังส่งผลกระทบต่อ EBITDA ประมาณ 17-18 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะค่อยๆ กลับมาดำเนินงานได้ในไตรมาส 3/67

กลุ่มธุรกิจ Indovinya มี Adjusted EBITDA ที่แข็งแกร่งเท่ากับ 98 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และเพิ่มขึ้น 85% เมื่อเทียบปีต่อปี สาเหตุหลักมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นหลังจากการระบายสต็อกที่ผ่อนคลายลง โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ของสารลดแรงตึงผิวเคมีภัณฑ์ปลายน้ำท่ามกลางฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา

สำหรับกลุ่มธุรกิจ Fibers รายงาน Adjusted EBITDA เท่ากับ 39 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบปีต่อปี ด้วยกลยุทธ์การขายที่พัฒนาขึ้น และการมุ่งบริหารจัดการต้นทุนอย่างรอบด้าน แม้ว่าปริมาณการขายจะลดลง โดยเฉพาะในธุรกิจไลฟ์สไตล์

ขณะที่ บล.กรุงศรี ระบุว่า IVL ประกาศงบ Q2/24 พลิกขาดทุนสุทธิ 22,996 ล้านบาท เทียบกับมีกำไรสุทธิ 1,133 ล้านบาทใน Q1/67 และ 411 ล้านบาทใน Q2/66 และยังขาดทุนสุทธิมากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดว่าจะขาดทุนเพียง 16,575 ล้านบาท หลักๆ มาจากรายการพิเศษจากการตั้งด้อยค่าเงินลงทุน 25,000 ล้านบาท นักวิเคราะห์ของเรายังแนะนำ “ขาย” ให้ราคาเหมาะสม 19.50 บาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ส.ค. 67)

Tags: , ,
Back to Top