MINT ร่วง 6.48% ผิดหวังงบ Q2/67 แม้นิวไฮแต่โตต่ำกว่าคาดจากดอกเบี้ยจ่าย-FX กดดัน

MINT ร่วง 6.48% มาที่ 25.25 บาท ลดลง 1.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 424.96 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.13 น. จากราคาเปิด 27.25 บาท ราคาต่ำสุด 25.00 บาท ราคาสูงสุด 27.50 บาท

บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) แจ้งกำไรสุทธิงวดครึ่งปีแรก 3,969 ล้านบาท เติบโต 74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนรูปแบบโมเดลทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและความยืดหยุ่นของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก โดย 6 เดือนแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงาน (ไม่รวมรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว) เติบโต 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ไตรมาส 2/67 MINT มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานสร้างสถิติใหม่ 3,230 ล้านบาท เติบโต 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 8% โดยหลักมาจากความสำเร็จของโรงแรมในทวีปยุโรปและอเมริกาที่เข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยว ความต้องการการเดินทางเพื่อพักผ่อนและเพื่อธุรกิจยังคงแข็งแกร่งในส่วนของพอร์ตโฟลิโอธุรกิจโรงแรมทั้งในยุโรปและอเมริกา ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ในไตรมาส 2/67 สำหรับโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของและเช่าบริหารในภูมิภาคนี้เติบโตที่ 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ บล.ดาโอ ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับราคาเป้าหมายหุ้น MINT ในปี 67 ลงมาอยู่ที่ 34 บาท จากเดิมที่ 40 บาท อิง DCF (WACC ที่ 7%,terminal growth ที่ 2.5%) จากการปรับกำไรลง ขณะที่มีความเสี่ยงจากต้นทุนพลังงานยุโรปที่อาจจะกระทบต้นทุนให้สูงมากกว่าคาด ขณะที่ปีนี้มีการ Hedging ไปแล้วที่ 30% รวมถึงจากโรคระบาดใหม่ที่จะกระทบภาพรวมการท่องเที่ยว, อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อการบริโภคอาหารได้

ผลประกอบการ Q2/67 ของ MINT ต่ำคาดจากดอกเบี้ยจ่ายและผลกระทบจากค่าเงิน แม้จะเพิ่มขึ้น +8% YoY และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับ Q1/67 ที่ขาดทุนปกติ -352 ล้านบาท เพราะเป็นช่วง Peak season ของยุโรป แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาด -5% และเราคาด -9% เพราะมีดอกเบี้ยจ่ายมากกว่าคาด และมีกำไรขาดทุนอื่นน้อยกว่าคาด เพราะได้รับผลกระทบจากเงินกู้สกุลเงินศรีลังกาและบราซิลที่อ่อนค่าลง

ขณะที่มีกำไรสุทธิ 2.82 พันล้านบาท เพราะมีรายการพิเศษราว -400 ล้านบาท จากขาดทุนจากสัญญาอนุพันธ์ -271 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายพิเศษจาก NH group ราว -358 ล้านบาท แต่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน USD ที่ +158 ล้านบาท

1. ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัว ภาพรวม RevPAR เพิ่มขึ้น +14% YoY และ +42% QoQ โดยยุโรปมี RevPAR เพิ่มขึ้นดีที่สุดที่ +9% YoY และ +51% QoQ โดยมี Occ rate อยู่ที่ 73% จาก Q2/66 ที่ 72% และจาก Q1/67 ที่ 62% ขณะที่ไทยมี RevPAR ที่ +15% YoY จาก Occ rate อยู่ที่ 65% เพิ่มขึ้นจาก Q2/66 ที่ 60% แต่ลดลงจาก Q1/67 ที่ 81% เพราะ Low season

2. ธุรกิจอาหารมี SSSG โดยรวมลดลง -3% YoY จาก Q1/67 ที่ +3% YoY โดยไทยมี SSSG เพิ่มขึ้น +1% YoY จาก Q1/67 ที่ +2% YoY ขณะที่ออสเตรเลียลดลงที่ -4% YoY จาก Q1/67 ที่ -3% YoY ส่วนจีนลดลงมากที่สุดอยู่ที่ -20% YoY จาก Q1/67 ที่ -27% YoY จากการบริโภคในประเทศที่หดตัวลง โดย MINT คาด H2/67 จีนจะฟื้นตัวได้เพราะมีออก New brand ที่แยกออกมาจากแบรนด์ร้านอาหาร Riverside ซึ่งจะมีขนาดร้านและมีราคาที่ถูกลง โดย Q2/67 เปิดแล้ว 1 สาขา เพื่อกระตุ้นการบริโภคในจีนให้เพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว

3. SG&A to sale อยู่ที่ 29% ลดลงจาก 1Q67 ที่ 33% เพราะมีรายได้ธุรกิจโรงแรมที่เพิ่มขึ้น ส่วนดอกเบี้ยจ่ายมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ +6% YoY และ +8% QoQ ตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แต่ดอกเบี้ยจ่ายจะเริ่มลดลงใน 2H67 เพราะจะเริ่มมีการทยอยคืนหนี้บางส่วน ทั้งนี้ Q2/67 จะมีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการที่มีเงินกู้ที่ศรีลังกา เพราะค่าเงินรูปีศรีลังกามีการอ่อนค่าลง ทำให้เกิดผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในรายการค่าใช้จ่ายอื่นๆ

เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 67 ที่ 7.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น +6% YoY จากการฟื้นตัวในทุกประเทศ โดยเฉพาะที่ไทยและยุโรป ขณะที่เราคาดว่า Q3/67 จะโต YoY ได้ต่อเพราะมีแรงหนุนต่อเนื่องจากฟุตบอลยูโรที่เยอรมัน (14 มิ.ย.-14 ก.ค.67) โดย RevPAR ที่ยุโรปเดือน ก.ค.67 ยังคงเพิ่มขึ้นได้ราว +8-9% YoY ส่วน Q4/67 จะมี High season จากไทยและมัลดีฟส์ช่วยหนุน

ขณะที่ปรับกำไรสุทธิปี 68 ลง -5% จากการปรับดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้ได้กำไรสุทธิปี 68 อยู่ที่ 8.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น +10% YoY

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ส.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top