นางมารีอา โกรินา มาชาโด แกนนำฝ่ายค้านเวเนซุเอลาออกมาประกาศเมื่อวันจันทร์ (29 ก.ค.) ว่า ฝ่ายค้านกวาดคะแนนเสียงไปได้ถึง 73.2% จากการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (28 ก.ค.) โดยผลนับคะแนนนี้ขัดแย้งกับผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการที่ประกาศให้นายนิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ได้รับชัยชนะสมัยที่สาม
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แม้คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติ (กกต.) ได้ประกาศให้ปธน.มาดูโรชนะเลือกตั้ง ซึ่งจะช่วยต่ออายุการปกครองของพรรคสังคมนิยมที่ดำเนินมาแล้ว 25 ปี แต่ผลสำรวจอิสระกลับชี้ว่า ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการนั้น “ไม่น่าเชื่อถือ” ทั้งนี้ ผู้นำฝ่ายค้านและผู้สังเกตการณ์ต่างชาติเรียกร้องให้กกต.เปิดเผยผลนับคะแนนที่แท้จริง
นางมาชาโดเปิดเผยว่า ข้อมูลผลนับคะแนนที่ฝ่ายค้านได้รับมานั้น ปธน.มาดูโรได้คะแนนเสียง 2.75 ล้านเสียง ขณะที่นายเอ็ดมุนโด กอนซาเลซ ตัวแทนจากฝ่ายค้าน ได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นถึง 6.27 ล้านเสียง ตัวเลขดังกล่าวแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการที่ระบุว่า ปธน.มาดูโรชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 5.15 ล้านเสียง ส่วนนายกอนซาเลซได้ไป 4.45 ล้านเสียง
ตามกฎหมายของเวเนซุเอลา พยานที่ได้รับมอบหมายให้สังเกตการณ์การนับคะแนนเสียงมีสิทธิได้รับสำเนาผลคะแนนจากเครื่องลงคะแนนทุกเครื่อง แต่ฝ่ายค้านเปิดเผยว่า พวกเขาได้รับบันทึกผลคะแนนเพียงประมาณ 40% เท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า พยานบางคนถูกขัดขวางไม่ให้เข้าไปดูการนับคะแนน และบางหน่วยเลือกตั้งก็ไม่มีการพิมพ์ผลคะแนนออกมา
ก่อนหน้านี้ ฝ่ายค้านได้ออกมาเตือนถึงความไม่โปร่งใสของการเลือกตั้งมาโดยตลอด โดยระบุว่า การตัดสินใจของกกต.และการจับกุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายค้านนั้น เป็นการจงใจสร้างอุปสรรค
ทันทีหลังเที่ยงคืน กกต.ประกาศว่า ปธน.มาดูโรชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 51% ก่อนจะประกาศรับรองให้มาดูโรเป็นปธน.วาระปี 2568-2574 โดยระบุเพิ่มเติมว่าเขาได้รับ “คะแนนเสียงส่วนใหญ่ที่นับเป็นบัตรดี”
รัฐบาลสหรัฐและอีกหลายประเทศแสดงความกังขาต่อผลการเลือกตั้ง พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจนับคะแนนอย่างโปร่งใสและครบถ้วน
ด้านผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนหน้าคูหาเลือกตั้งหรือเอ็กซิตโพล (Exit Poll) หลายสำนักชี้ว่า นายกอนซาเลซได้รับคะแนนเสียงสนับสนุน 65% ในขณะที่ปธน.มาดูโรได้คะแนนเสียงระหว่าง 14%-31% เท่านั้น
ทั้งนี้ มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 ราย อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการนับคะแนนและการประท้วง โดยรายแรกเสียชีวิตในช่วงกลางดึกที่รัฐตาชิราซึ่งอยู่ติดชายแดน ส่วนอีกรายเสียชีวิตที่เมืองมาราไกเมื่อวันจันทร์
ประชาชนจำนวนมากออกมารวมตัวประท้วงตามเมืองต่าง ๆ ทั่วเวเนซุเอลา รวมถึงบริเวณใกล้ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงการากัสและด้านนอกสำนักงานกกต.
แม้ว่านายกอนซาเลซได้ออกมาเตือนหลายครั้งไม่ให้เกิดการนองเลือด แต่ปธน.มาดูโร ซึ่งถูกสหรัฐและอีกหลายประเทศมองว่าชนะเลือกตั้งอย่างไม่โปร่งใสในปี 2561 นั้น กลับแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐในช่วงค่ำว่า มีกลุ่มคนที่ถูกจ้างมาสร้างความวุ่นวายได้บุกโจมตีสำนักงานกกต.หลายแห่ง
“เรารู้วิธีรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ และรู้วิธีจัดการกับพวกที่ใช้ความรุนแรง” ปธน.มาดูโรกล่าว
ด้านนายฆอร์เก โรดริเกซ สมาชิกสภานิติบัญญัติจากพรรครัฐบาลและหัวหน้าทีมหาเสียงของปธน.มาดูโร กล่าวหาฝ่ายค้านว่าพยายามปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง พร้อมเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนพรรครัฐบาลออกมาเดินขบวนตามเส้นทางต่าง ๆ ในวันอังคาร (30 ก.ค.) เพื่อแสดงพลังสนับสนุนรัฐบาล
ขณะเดียวกัน นายพลวลาดิเมียร์ ปาดริโน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาเตือนไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย “สถานการณ์อันเลวร้ายในปี 2557, 2560 และ 2562” อีก โดยในปีดังกล่าวมีการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาล ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชนหลายร้อยคน
ทางด้านนางมาชาโดเรียกร้องให้กองทัพยอมรับผลการเลือกตั้งที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม กองทัพเวเนซุเอลาได้ให้การสนับสนุนปธน.มาดูโรมาโดยตลอด และยังไม่มีสัญญาณใด ๆ บ่งชี้ว่า กองทัพจะหันหลังให้รัฐบาล
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ค. 67)
Tags: นิโคลัส มาดูโร, มารีอา โกรินา มาชาโด, เลือกตั้ง, เวเนซุเอลา