สหรัฐเล็งออกมาตรการควบคุมอุตสาหกรรมชิป ฉุดราคาหุ้นชิปทั่วโลกดิ่งหนัก

คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้แจ้งให้บรรดาชาติพันธมิตรทราบว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังพิจารณาบังคับใช้มาตรการด้านการค้าที่เข้มงวดมากที่สุด หากบริษัทต่าง ๆ เช่น โตเกียว อิเล็กตรอน (Tokyo Electron) และเอเอสเอ็มแอล โฮลดิงส์ (ASML Holding) ยังคงปล่อยให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง

แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า สหรัฐกำลังประเมินว่าจะบังคับใช้มาตรการห้ามบริษัทต่างชาติขายสินค้าที่ผลิตโดยเทคโนโลยีของสหรัฐ (Foreign Direct Product Rule – FDPR) หรือไม่ โดยมาตรการดังกล่าวจะทำให้สหรัฐสามารถควบคุมสินค้าของต่างชาติที่ใช้เทคโนโลยีของสหรัฐ แม้จะใช้ในปริมาณที่น้อยก็ตาม

มาตรการดังกล่าวอาจถูกใช้เพื่อจำกัดการดำเนินธุรกิจในจีนของบริษัทโตเกียว อิเล็กตรอนของญี่ปุ่น และบริษัทเอเอสเอ็มแอลของเนเธอร์แลนด์ โดยเอเอสเอ็มแอลเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตชิปซึ่งมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

แหล่งข่าวระบุว่า สหรัฐกำลังนำเสนอแนวคิดดังกล่าวนี้กับเจ้าหน้าที่ของญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ โดยแจ้งว่าแนวคิดดังกล่าวมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะถูกนำมาเป็นมาตรการบังคับใช้ หากประเทศเหล่านี้ไม่ได้ดำเนินมาตรการที่เข้มงวดกับจีน

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทผลิตชิปทั่วโลกร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงหุ้นเอเอสเอ็มแอล, หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) และหุ้นไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง โค (TSMC)

นอกจากนี้ ราคาหุ้นกลุ่มบริษัทชิปยังถูกกดดันจากความกังวลว่าสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์จะทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันได้ออกมาแสดงความเห็นที่แข็งกร้าวกับไต้หวัน

นายทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg Businessweek ซึ่งมีการเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (16 ก.ค.) ว่า ” ไต้หวันควรจ่ายเงินให้กับสหรัฐเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปกป้องไต้หวัน สหรัฐไม่ได้แตกต่างอะไรจากการเป็นบริษัทประกันภัย ในขณะที่ไต้หวันไม่ได้ให้อะไรกับเราเลย และไต้หวันยังเอาธุรกิจชิปของเราไปประมาณ 100%”

การแสดงความเห็นดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายเกิดความวิตกเกี่ยวกับพันธกรณีของสหรัฐในการปกป้องไต้หวันหากถูกจีนโจมตี ในกรณีที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในเดือนพ.ย. และกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่ 2

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.ค. 67)

Tags: , ,
Back to Top