หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าปรับลงต่อ sentiment ไม่สดใส-กังวลการเมืองในประเทศ

นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีปรับตัวลงต่อจากวันศุกร์ รวมทั้งถูกกดดันจากราคาหุ้น EA JMART JMT ที่ปรับตัวลงต่อเนื่องส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่นักลงทุนกลับมากังวลประเด็นการเมืองในประเทศ ซึ่งจะมีการพิจารณาคดีสำคัญในเดือนก.ค.นี้ ทั้ง คดียุบพรรคก้าวไกล และคดีคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี โดยให้กรอบแนวรับ 1,280 จุดและแนวต้าน 1,310 จุด

นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาด
หุ้นไทยเช้านี้คาดปรับตัวลงต่อจากวันศุกร์ที่ลงไปปิดที่ 1,300.96 จุด ไม่มีการทำ Window Dressing สะท้อนภาพโมเมนตัมที่ไม่ค่อยดี รวมทั้งยังถูกกดดันจากราคาหุ้น EA JMART JMT ที่ปรับตัวลงต่อเนื่องหลายวัน โดย JMT ทำจุดต่ำสุดใหม่ เนื่องจากนักลงทุนกังวลผลการดำเนินไตรมาส 2/67 ว่าจะฟื้นหรือไม่ หลังการเก็บหนี้ไตรมาส 1/67 มีปัญหา ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากประเด็นการเมือง ซึ่งในวันที่ 3 ก.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล และในวันที่ 10 ก.ค. พิจารณาคดีคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน ขณะที่ในวันนี้มีการบังคับใช้มาตรการ Uptick Rule เป็นวันแรก มองว่าอาจไม่ช่วยหนุนตลาด เนื่องจาก Sentiment โดยรวมไม่ดี

ด้านปัจจัยต่างประเทศ Sentiment ไม่มีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยนักลงทุนรอติดตามการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐ ซึ่งหากชะลอตัวอาจช่วยหนุน Sentiment บวกได้บ้าง

โดยให้กรอบแนวรับ 1,280 จุดและแนวต้าน 1,310 จุด

*ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (28 มิ.ย.67) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 39,118.86 จุด ลดลง 45.20 จุด หรือ -0.12%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,460.48 จุด ลดลง 22.39 จุด หรือ -0.41% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,732.60 จุด ลดลง126.08 จุด หรือ -0.71%
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดที่ระดับ 39,839.82 จุด เพิ่มขึ้น 256.74 จุด หรือ +0.64%, ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 2,965.24 จุด ลดลง 2.16 จุด หรือ -0.07% และดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดแทบไม่ขยับ
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (28 มิ.ย.67) 1,300.96 จุด ลดลง 8.50 จุด (-0.65%) มูลค่าการซื้อขายราว 54,556.52 ล้านบาท
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,687.54 ล้านบาท (28 มิ.ย.67)
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.24% ปิดที่ 81.54 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (28 มิ.ย.67) อยู่ที่ 3.95 เหรียญ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 36.73 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่ารับดอลลาร์อ่อน หลัง PCE สหรัฐชะลอตามคาด ให้กรอบวันนี้ 36.65-36.90 บาท/ดอลลาร์
  • จับตาอุตสาหกรรมรถยนต์ประเทศไทย เศรษฐกิจซึมทุบดาวรุ่ง “อีวี” ลดความร้อนแรง ตลาดไม่โตตามเป้า สต็อกล้น ดันสงครามราคาเดือด ลากดีลเลอร์ร่วมรับผิดชอบต้นทุน ด้านรถสันดาปภายใน ยัน อีวี ไม่ส่งผลกระทบเท่าภาวะเศรษฐกิจ ไฟแนนซ์คุมเข้ม
  • “สุริยะ” ดัน พ.ร.บ. SEC เตรียมเสนอ ครม.พิจารณา ก.ย.นี้ ดันเข้าสภาผู้แทนฯ คาดผ่าน 3 วาระใน เม.ย.68 ส่วน “แลนด์บริดจ์” คาด ร่าง RFP เสร็จเปิดประมูลกลางปี 68 ปักธงเซ็นสัญญาปลายปี 68 เปิดให้บริการปี 73 มั่นใจช่วยหนุน GDP และจ้างงานเพิ่ม
  • ส.อ.ท.เผยขึ้นราคาน้ำมันดีเซลจ่อดันราคาขนส่งพุ่ง 9% กระทบการขนสินค้าขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้น หวั่นสินค้ากำไรต่ำได้รับผลก่อน ชี้ยังพอแบกได้แค่ 3 เดือน ทวงมาตรการรัฐช่วยดูแลโครงสร้างพลังงานไม่ให้ซ้ำรอยเดิม

*หุ้นเด่นวันนี้

  • COCOCO (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 15.20 บาท แนวโน้มยอดขายและกำไรใน Q2/67 จะกลับมาโตดีทั้ง QoQ, YoY หนุนจากผ่าน low season มาแล้ว สินค้าประเภทน้ำมะพร้าวยังคงขายดีและช่วยสร้าง GPM ให้ดีขึ้นตาม U-rate และ product mixed เปลี่ยนไป ขณะที่อาหารสัตว์เลี้ยงพลิกเป็นกำไรตั้งแต่ Q1/67 ทิศทาง H2/67 มีโอกาสดีขึ้นต่อเข้าช่วงฤดูร้อนของสหรัฐ-ยุโรป รวมถึงขยายไลน์สินค้าใหม่กลุ่มน้ำมะพร้าวแบบกระป๋องและขวด PET ไอศกรีมผลไม้ เข้าตลาดจีนเพิ่ม
  • AOT (กสิกรไทย) “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 67.21 บาท มองผลกระทบการเรียกพื้นที่คืนเพื่อพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิไม่มากโดยประเมินที่ราว 282 ล้านบาท ในปี 67 และ 1.1 พันล้านบาทในปี 68 แต่เชื่อคุณภาพบริการดีขึ้นและสร้างผลบวกจำนวนผู้โดยสารขยายตัว ขณะที่ราคาหุ้นลงมามากจน upside เปิด น่าสนใจเก็งกำไรเล่นเด้งฟื้น โดยเฉพาะท่องเที่ยวไทยน่าจะได้กระแสดีตาม Rockstar ของน้องลิซ่าช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในช่วงโลว์ซีซั่น
  • CKP (เมย์แบงก์) “ซื้อ” เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 4.50 บาท คาดกำไร Q2/67 ที่ 91 ล้านบาทได้แรงหนุนโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ น้ำงึม 2 ขายไฟมากขึ้น เทียบกับ Q2/66 ที่กำไรเพียง 2 ล้านบาท เนื่องจากประสบปัญหาภัยแล้ง El Nino และดีขึ้นจาก Q1/67 ที่ขาดทุนสูง 461 ล้านบาทช่วงน้ำน้อยทำให้รับรู้ขาดทุนจากโรงไฟฟ้าไซยะบุรี 259 ล้านบาทและรับรู้ขาดทุน FX โรงไฟฟ้าหลวงพระบาง 314 ล้านบาท ขณะที่กำไร H2/67 น้ำในเขื่อน Xiaowan และ Nuozhadu ซึ่งมีอิทธิพลต่อไซยะบุรีรวมกันเพิ่มขึ้นถึง 67% YoY รวมถึงคาด ENSO Forecast ใน H2/67 โอกาสเกิด La Nina คาดกำไรปี 67 เท่ากับ 1,829 ล้านบาท เติบโต 25% YoY

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top