“พิธา”สู้คดียุบพรรค ชี้กกต.กำลังสร้าง 2 มาตรฐานส่งก้าวไกลขึ้นทางด่วน ทำผิดขั้นตอน

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงความคืบหน้าการต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล โดยระบุว่าจากการแถลงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2567 พรรคก้าวไกลมีข้อต่อสู้ทั้งหมด 9 ข้อ ในประเด็นว่าด้วยเขตอำนาจและกระบวนการ ข้อเท็จจริง และสัดส่วนโทษ โดยเน้นย้ำในประเด็นว่ากระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย, คำวินิจฉัยที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ไม่ผูกพันกับการพิจารณาคดีนี้ และโทษยุบพรรคเป็นมาตรการสุดท้ายที่ใช้เมื่อจำเป็นฉุกเฉินและไม่มีวิธีแก้ไขอื่น

ส่วนการแถลงในวันนี้เป็นเรื่องความคืบหน้าต่อเนื่อง ซึ่งตนจะขอเน้นย้ำถึงกระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้กระบวนการยุบพรรคมีสองมาตรฐาน เพราะ กกต. อ้างว่าในกรณีของพรรคก้าวไกลใช้แค่มาตรา 92 ก็สามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคได้ เพราะ “มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า” ทั้งที่มาตรา 93 เขียนไว้ชัดเจนว่าต้องต่อเนื่องจากมาตรา 92 ถ้าตีความอย่างเคร่งครัดคือไม่สามารถใช้แยกกรณีกันได้ ถ้าใช้แยกกรณีกันเมื่อใดหมายความว่ามีสองมาตรฐานในการยื่นยุบพรรคทันที บางพรรคที่อยากให้เร็วก็ใช้เฉพาะมาตรา 92 แต่พรรคใดที่อยากให้ช้าหน่อยก็ใช้มาตรา 92 ประกอบกับ 93 ถ้าปล่อยให้ใช้แยกกันย่อมหมายความว่าจะเป็นการส่งพรรคก้าวไกลขึ้นทางด่วน แต่พรรคอื่นไปทางธรรมดา เป็นสองมาตรฐานที่ต้องตั้งคำถามว่า กกต. สามารถใช้ดุลยพินิจเช่นนี้ โดยไม่ต้องมีการถ่วงดุลและมีส่วนร่วมได้ด้วยหรือ

พรรคก้าวไกลจึงยืนยันว่า กกต. ไม่สามารถตีความมาตรา 92 แยกออกจากมาตรา 93 ได้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดสองมาตรฐานทันที ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดก็ควรใช้มาตรฐานเดียวกัน และทุกพรรคการเมืองควรได้รับสิทธิในกระบวนการที่ กกต. กำหนดขึ้นมาเอง โดยต้องเปิดโอกาสให้พรรคที่ถูกร้องได้รับทราบข้อเท็จจริงและต่อสู้ทางกฎหมายในชั้น กกต. ไม่สามารถปล่อยให้การยุบพรรคมีสองช่องทางได้

ขณะเดียวกัน เมื่อมาตรา 93 ระบุว่า กกต. ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 กกต. จึงออกระเบียบเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรา 92 และ 93 ขึ้น โดยสรุปได้ว่าต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องมีโอกาสรับทราบข้อกล่าวหาและโต้แย้งด้วยหลักฐานในชั้น กกต. ซึ่งระเบียบดังกล่าวทำให้คดียุบพรรคก้าวไกลกับคดียุบพรรคไทยรักษาชาติที่เกิดขึ้นก่อนการออกระเบียบดังกล่าวไม่เหมือนกัน

เรื่องนี้ถูกตอกย้ำโดยเอกสารคำอธิบายกระบวนการที่ กกต. จัดทำขึ้นมาเองเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ระบุว่าในกระบวนการยื่นคำร้องยุบพรรคต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องได้รับทราบและมีโอกาสโต้แย้งพยานหลักฐานในชั้น กกต. ก่อนส่งศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีทางด่วนและทางธรรมดา ทุกอย่างต้องลงมาในกระบวนการเดียวกันทั้งหมด ไม่มีข้อใดที่ระบุว่าเพียง “มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า” ก็สามารถส่งศาลรัฐธรรมนูญได้โดยไม่ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องโต้แย้งในชั้น กกต.

นายพิธากล่าวต่อไปว่า การทำคำร้องยุบพรรคก้าวไกลครั้งนี้ กกต. มีวัตถุคดีชิ้นเดียว คือคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ซึ่งพรรคก้าวไกลยืนยันว่าไม่ผูกพันกับการวินิจฉัยคดีนี้ ด้วยเหตุว่าเป็นคนละข้อหากัน เพราะคำวินิจฉัยที่ 3/2567 เป็นข้อกล่าวหาตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ ส่วนคดีปัจจุบันเป็นข้อกล่าวหาตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 92 และ 93

นอกจากคนละข้อหากันแล้ว ความหนักของโทษก็ต่างกัน คือสั่งให้เลิกการกระทำ กับสั่งให้ยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค การที่ กกต. ออกมาแถลงว่าคำวินิจฉัยที่ 3/2567 เป็นเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่าและเป็นวัตถุคดีเพียงหนึ่งเดียวที่ใช้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้โต้แย้ง จึงเป็นวัตถุคดีที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ

นายพิธาแถลงต่อไปถึงความคืบหน้าล่าสุด ซึ่งสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้พรรคก้าวไกลทำบันทึกถ้อยคำภายใน 7 วัน เพื่อตอบ 2 คำถามสำคัญสำหรับใช้ในการนัดพิจารณาครั้งถัดไปคือวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 และการนัดคู่กรณีมาตรวจพยานหลักฐานวันที่ 9 กรกฎาคม 2567

2 คำถามที่พรรคก้าวไกลได้รับมาคือ 1) พรรคก้าวไกลได้โต้แย้งต่อ กกต. ในประเด็นที่พรรคไม่มีโอกาสชี้แจงในชั้นพิจารณาของ กกต. หรือไม่ และ 2) การกระทำตามข้อเท็จจริงตามคดี 3/2567 อาจเป็นปฏิปักษ์หรือไม่

โดยคำถามข้อที่ 1 คำตอบคือ ในเมื่อพรรคก้าวไกลไม่มีโอกาสได้รับทราบข้อกล่าวหาและโต้แย้งในชั้น กกต. จะเป็นไปได้อย่างไรที่พรรคก้าวไกลจะเรียกร้อง กกต. ให้ทำตามกระบวนการ อีกทั้งยังไม่มีกฎหมายใดที่กำหนดหน้าที่ให้พรรคต้องโต้แย้งในกรณีที่ กกต. ไม่ทำตามกระบวนการ

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่มีความคล้ายคลึงกัน คือคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ 15/2553 ศาลรัฐธรรมนูญเองก็เคยยกคำร้องเพราะ กกต. ไม่ทำตามกระบวนการมาแล้ว ด้วยเหตุว่านายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ได้ทำความเห็นส่งไปยัง กกต. ซึ่งเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคที่น้อยกว่ากระบวนการยุบพรรคก้าวไกลวันนี้ด้วยซ้ำ แต่ศาลก็ยกคำร้อง

“ความผิดเพียงเล็กน้อยศาลยังยกคำร้อง ดังนั้นในกรณีของพรรคก้าวไกลที่ กกต.ข้ามขั้นตอน ปิดโอกาสในการชี้แจงซึ่งเป็นความผิดพลาดที่มากกว่า ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้นว่าควรยกคำร้อง” พิธากล่าว

ส่วนในคำถามที่ 2 พรรคก้าวไกลตอบไปว่า พรรคไม่สามารถตอบต่อศาลในชั้นนี้ได้ เพราะข้อกล่าวหาคำว่า “การกระทำเป็นการล้มล้างและอาจเป็นปฏิปักษ์” เป็นคนละข้อกล่าวหากับคดี 3/2567 ที่กล่าวหาว่า “ใช้เสรีภาพเพื่อล้มล้างฯ” เพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลยืนยันว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ได้ แต่ในเมื่อเป็นคนละข้อหาและเป็นประเด็นใหม่ ก็ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ในชั้น กกต. ให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน แต่ในเมื่อ กกต. ปิดประตูใส่ พรรคก้าวไกลก็ไม่มีโอกาสได้ไปชี้แจง ไม่มีช่องทางในการท้วงติง และในเมื่อเป็นประเด็นใหม่และขอบเขตใหม่ก็ต้องเริ่มต้นด้วยกระบวนการใหม่เท่านั้น

“ถ้าเกิดมันมีสองมาตรฐานแบบนี้ได้ ถ้า กกต. อยากยุบพรรคไหนเป็นพิเศษก็ส่งขึ้นทางด่วน ใช้ 92 อย่างเดียว พรรคไหนไม่อยากยุบเร็ว อยากประวิงเวลาให้ก็ส่งไปทางธรรมดา ใช้มาตรา 93 เข้ามาช่วย คุณเลือกใช้แบบนี้ไม่ได้ มันทำให้เกิดสองมาตรฐานในประเทศไทย รวมถึงไม่สามารถบอกว่าคดีนั้นจบก็ถือว่าเอาคดีนั้นมาผูกพันกับคดีนี้ ถือเป็นหลักฐานอันเชื่อได้ว่า ซึ่งเป็นเรื่องดุลยพินิจล้วนๆ เรื่องที่โทษรุนแรงขนาดนี้ไม่สามารถที่จะใช้ดุลพินิจโดยไม่มีการถ่วงดุลได้” พิธากล่าว

*ฟ้องกลับกกต.ยังอีกไกล

นายพิธา กล่าวว่า กรณีที่หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าพรรคก้าวไกล ไม่ได้กระทำตามข้อกล่าวหาคดียุบพรรคก้าวไกลจะมีการฟ้องร้องกลับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือไม่ ว่า ตนคิดว่ายังคงไกลไปเยอะที่จะคิดเรื่องนั้น เรื่องที่เราอยากจะขอย้ำ และขอยืนยันว่า คำร้องของ กกต. นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีส่วนร่วม ไม่มีการถ่วงดุล และผิดขั้นตอนของ กกต.เอง ไม่ควรที่จะให้ตีความแบบ กกต.ว่าแยกมาตรา 92 กับ 93 กรณีนั้นทำให้เกิดสองมาตรฐาน บางพรรคถ้ากรณีที่ใช้ดุลยพินิจแล้วเกิดแยกขึ้นมา

นายพิธา ยืนยันว่า ไม่ได้กล่าวหา กกต.โดยตรง แต่โดยหลักการถ้ามีสองมาตรฐานแบบนี้ได้ ถ้า กกต. อยากจะยุบพรรคไหนเป็นพิเศษก็ส่งขึ้นทางด่วนใช้มาตรา 92 อย่างเดียว ถ้าพรรคไหนไม่อยากยุบเร็วอยากจะประวิงเวลาให้ก็ส่งไปทางธรรมดาใช้มาตรา 93 เข้ามาช่วย ตนมองว่ากกต.จะเลือกใช้แบบนี้ไม่ได้ทำให้เกิด 2 มาตรฐานในประเทศไทย และไม่สามารถจะบอกว่าคดีนั้นจบถือว่าเอาคดีนั้นมาผูกพันกับคดีนี้ถือว่าเป็นหลักฐานนั้นเชื่อได้ว่าอันดุลพินิจล้วนๆ และเรื่องที่กฎหมายรุนแรงขนาดนี้ไม่สามารถที่จะใช้ดุลยพินิจโดยที่ไม่มีการถ่วงดุลได้ ต้องโฟกัสที่ตรงนี้ก่อน

ส่วนกระบวนการชี้แจงอาจจะย้อนกลับไม่ได้แล้วพรรคก้าวไกลประเมินฉากทัศน์หลังจากนี้อย่างไร นายพิธา ระบุว่า ก็มีหลายฉากทัศน์ ฉากทัศน์หนึ่งที่วันนี้เรานำเสนอโดยการเทียบเคียงคดี 15/53 ของพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นฉากทัศน์หนึ่งที่ศาลได้ยกคำร้องในคดีนั้น เพราะว่านายทะเบียนพรรคไม่ได้เสนอความเห็นก่อนถือว่าทำข้ามตามขั้นตอน ก็มีการยกคำร้องนั้นและก็ไม่ได้พิจารณาเรื่องอื่นอีก

“อันนี้ก็เป็นฉากทัศน์นึง หรืออีกฉากทัศน์นึง เดินหน้าต่อแล้วให้มีการไต่สวนแต่ผมคิดว่าถ้าดูตามการเทียบคดีของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 53 กับของเราก็จะเห็นว่ามันยิ่งต้องเป็นเช่นนั้นที่ต้องยกคำร้อง เพราะในคดีนั้นของ กกต. ตอนที่เป็นประธานแต่ตอนนี้เป็นนายทะเบียนพรรคเป็นเลขา กกต. ถ้าดูด้วยข้อกฎหมาย ผมมองว่าเป็นข้อผิดพลาดที่ทำให้เป็นผู้เสียหายทำให้ผมเป็นผู้เสียโอกาสในการชี้แจงในกระบวนการสำคัญที่กกต.ร่างขึ้นมาเองในปี 66 ทำให้เราต้องเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ อย่างไทยรักษาชาติ ที่เกิดขึ้นก่อน ปี 66 ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย ผมพูดในเรื่องของกระบวนการไม่ใช่ในแง่ของผลลัพธ์”

เมื่อถามว่ากรณีนี้ตัวพรรคก้าวไกลมั่นใจว่าจะไม่ถูกยุบพรรค แต่หากเทียบกับคดีที่มีการร้อง ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบจริยธรรม สส. ก้าวไกล 44 คน เข้าชื่อแก้ 112 ว่าคดีนี้อันไหนมีแนวโน้มว่าจะมีความเชื่อมั่นมากกว่ากัน นายพิธากล่าวว่า ตนเชื่อมั่นพอๆ กัน ยังเชื่อมั่นในตัวเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเจตนาของพวกเราที่มีเจตนาดีกับระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ว่าจะเป็นการกระทำใดที่ผ่านมาที่มีคำอธิบายได้ เราประกันตัวเพราะเป็นสิทธิที่เป็นหลักการสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์ไว้ก่อน การที่เรามีผู้ต้องหามาตรา 112 เป็นสมาชิกพรรคหรือเป็นสส.พรรค ก็ต้องให้โอกาสเขาในการที่จะพิสูจน์ เพราะคดีก็ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 มิ.ย. 67)

Tags: , , , ,
Back to Top