FETCO-วงการโบรก มองดอกเบี้ยขาลงพลิกโลก ตลาด Bond เด่น จับตาเลือกตั้งสหรัฐ-ความขัดแย้งตปท.

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวในงานสัมมนา Investment Forum 2024 “จัดทัพลงทุนลุ้นดอกเบี้ยลด ท่ามกลางความขัดแย้งในเวทีโลก” ว่า ตลาดพันธบัตรโลกกำลังเข้าสู่ Phase ใหม่ของการลงทุน หลังจากความผันผวนของตลาดทุนโลกและพันธบัตรโลกกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว สะท้อนได้จากเงินเฟ้อในหลายประเทศเริ่มปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในยุโรป ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศอื่น ๆ ลดดอกเบี้ยตามมา อย่างธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ และธนาคารกลางแคนาดา ก็ปรับลดดอกเบี้ยลงมาด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ เศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ทั่วโลกอยู่ในภาวะที่เหมาะสมต่อการลดอัตราดอกเบี้ย โดยมองว่าจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ คาดจะใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปีครึ่ง ถึง 2 ปี ซึ่งเป็นโอกาสดีในการลงทุนตลาดพันธบัตรที่มีอัพไซด์ด้านราคา จากแนวโน้วดอกเบี้ยขาลงท่ามกลางสภาพคล่องจำนวนมาก

ส่วนเฟดน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง จากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงและเศรษฐกิจที่ยังดีอยู่ แต่การตัดสินใจของเฟดอาจพลิกผันได้ จากความเห็นของคณะกรรมการเฟดที่ยังลังเล ซึ่งต้องติดตามตัวเลขเงินเฟ้อต่อเนื่อง จากเป็นตัวชี้วัดการตัดสินใจลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ตามหากเงินเฟ้อยังสูง และเฟดไม่สามารถลดดอกเบี้ยลงได้ จะส่งผลกระทบต่อส่วนต่างดอกเบี้ยของประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจหลักจะกว้างขึ้น และส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้น กระทบการผันผวนของค่าเงินทั่วโลก

นายกอบศักดิ์ มองว่า เมื่อประเทศต่างๆ ปรับลดดอกเบี้ย อาจจะเป็นการพลิกเศรษฐกิจโลกที่ทำให้เกิดการฟื้นตัวพร้อมๆ กัน แต่ความเสี่ยงที่น่ากังวลใจที่สุด คือ ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งต้องติดตามผลการเลือกตั้งสหรัฐต่อไป

ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยระดับมหาภาค (Macro) ยังมีปัจจัยหนุนจากการส่งออกที่กำลังเข้าสู่การฟื้นตัว โดยเฉพาะแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงจะกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนภาคการส่งออกและส่งผลดีต่อจีนที่สามารถส่งออกไปยังตลาดอื่นได้ และลดผลกระทบจากสินค้าจีนที่ทะลักเข้าไทยจำนวนมากอีกด้วย รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศเฉลี่ย 3 ล้านคนต่อเดือน โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่เป็น High Season หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้ดี

นอกจากนี้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐจำนวนมาก ซึ่งในช่วงไตรมาส 2-ไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่มีแรงส่งจากภาคการคลังดีเป็นพิเศษ ประกอบการการลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามา หนุนให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3% และปี 68 ขยายตัวมากกว่า 3%

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจระดับจุลภาค (Micro) ยังมีปัญหาหนี้นอกระบบของประชาชนและกลุ่ม SMEs ที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากช่วงโควิด-19 ซึ่งกำลังลุกลามเศรษฐกิจระดับล่าง อย่างไรก็ตามมองว่าด้วยปัจจัยหนุนต่าง ๆ ยังทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังเติบโตได้

*ทรีนีตี้มองแนวโน้ม Fund Flow ขึ้นอยู่กับเลือกตั้งสหรัฐ-เฟดลดดอกเบี้ย

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) เปิดเผยถึงแนวโน้มเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญที่จะมีผลต่อ Fund Flow ประกอบด้วยการเลือกตั้งสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนผันผวนมาก โดยตลาดหุ้นอาเซียนช่วงก่อนเลือกตั้ง 6 เดือนดัชนีปรับตัวลงประมาณ 10% โดยจะเห็นบรรยากาศการลงทุนนิ่งรอปัจจัยใหม่มีผลต่อดัชนี ทั้งนี้ปริมาณการซื้อขายในตลาดทุนไทยปัจจุบันอยู่ที่ 60% ต่ำกว่ามาตรฐานที่โดยเฉลี่ยต้องอยู่ที่ 80 % นอกจากนี้อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหากเฟดไม่ลดดอกเบี้ยส่งผลให้เม็ดเงินไม่ไหลกลับ

ขณะที่เศรษฐกิจไทยมองว่าไตรมาส 1/67 ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และจะเริ่มดีขึ้นโดยเฉพาะในไตรมาส 4/67 ที่ GDP มมมีโอกาสขยายตัวได้ถึง 4% เนื่องจากเป็นช่วงพีคของการท่องเที่ยว รวมทั้งการเร่งเบิกจ่ายงบทำให้เห็นเม็ดเงินลงทุนจากนโยบายรัฐจำนวนมาก ซึ่งจะหนุนต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยประกอบกับหากมีการปรับกำไรของบริษัทจดทะเบียน (EPS) ขึ้นอาจทำให้ตลาดกลับมาคึกคักมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี

อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์หาจังหวะเข้าลงทุน ขณะที่บางกลุ่มเป็นช่วงขาขึ้น อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มโรงพยาบาล โดยเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 67 มองเป็น 2 เหตุการณ์ ประกอบด้วยกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ดัชนีจะอยู่ที่ 1,240-1,430 จุด แต่หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทำให้มีอัพไซด์ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวได้ถึง 1,500 จุดได้ โดยไตรมาส 3/67 ต้องหาหุ้นให้ดีก่อนที่ตลาดจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/67

*ฟินโนมีนา ชี้ครึ่งปีหลังตลาดหุ้นโลก-บอนด์มี Upside แนะนำเลี่ยงหุ้นไทยติดปัญหาเชิงโครงสร้าง

นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ CEO FINNOMENA Group (ฟินโนมีนา) เปิดเผยว่า ครึ่งปีหลังมองตลาดหุ้นโลกและตลาดบอนด์มี Upside โดยตลาดยุโรปผลตอบแทนดี รวมทั้ง Emerging Market ที่ฟื้นตัวจากตลาดอินเดียที่เติบโตต่อเนื่องจากปีที่แล้ว และจีนที่มีทยอยออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา ทำให้ตลาดมีความคาดหวัง นอกจากนี้ยังมองว่าตลาดเอเชียมีความสดใสช่วงครึ่งปีหลังจากแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยก่อนเฟด อีกตลาดที่มองว่าน่าลงทุนคือตราสารหนี้ตามแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง

โดยตลาดหุ้นจีน รัฐบาลทยอยประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าเศรษฐกิจปี 67 ขยายตัว 5% แต่ตลาดคาดว่า GDP จะขยายตัวต่ำกว่าเป้าจากตัวเลข 5% และความมั่นใจผู้บริโภคยังไม่ฟื้น และยังออมเงินมากขึ้น และมีพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปโดยอยากใช้เงินทำกิจกรรมมากขึ้น สวนทางซื้อบ้าน อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากราคาตราสารหนี้กลุ่มอสังหาที่เริ่มฟื้นตัว แนะนำสะสมหุ้นจีน

สำหรับหุ้นเกาหลียังฟื้นตัวตามวัฎจักรเซมิคอนดักเตอร์ที่ได้รับอานิสงส์จากการใช้งานด้าน AI รวมทั้งมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการ Value-up Program และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติมห้ความสนใจและมีมุมมองที่ดี แนะนำสะสมหุ้นเกาหลี ขณะที่หุ้นอินเดียแม้ว่าจะราคาแพงแต่แนวโน้มการเติบโตของ GDP อยู่ในระดับสูง พร้อมมีการปรับประมาณการขึ้น ขณะที่ภาคการบริโภคยังแข็งแกร่ง และมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยติดปัญหาเชิงโครงสร้างภาพรวมกำไรต่อหุ้นไม่เติบโตในรอบ 10 ปี สวนทางตลาดโลก Valuation อาจจะไม่สามารถกลับไปค่าเฉลี่ยในอดีตได้หากไม่มีมาตรการ ซึ่งจะต้องไม่เพียงเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน แต่ต้องช่วยฟื้นฟูการเติบโตของประเทศและกำไรของบริษัทจดทะเบียน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังแนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นไทย ซึ่งการปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG ช่วยเพิ่ม Sentiment ในแง่ของดีมานด์ในการลงทุนได้ แต่กำไรบริษัทจดทะเบียนอาจไม่ได้โต ซึ่งผู้ที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่หุ้นไทยแต่เป็นตลาดตราสารหนี้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 มิ.ย. 67)

Tags: , ,
Back to Top