หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้ารีบาวด์จำกัด รับเฟดคงดอกเบี้ยหลังเงินเฟ้อสหรัฐต่ำคาด แต่การเมืองในปท.ยังกดดัน

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าดัชนีรีบาวด์ได้บ้าง แต่อัพไซด์ไม่แรงเหมือนตลาดต่างประเทศ โดยมีมุมมองเป็นกลางต่อผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ตามที่ตลาดคาด ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังแข็งแกร่ง ส่วนอัตราเงินเฟ้อเฟดมองว่ายังอยู่ในทิศทางปรับลดลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% แต่การปรับลดลงช้ากว่าที่คาดไว้ ซึ่งการคาดการณ์ของเฟด อัตราเงินเฟ้อสิ้นปีจะอยู่ที่ 2.8%YoY เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เดือนมี.ค. ที่ 2.6% ซึ่งเงินเฟ้อที่ลงช้ากว่าคาด ส่งผลให้มุมมองในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) จะลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปี 67 จากเดิมที่ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง

นอกจากนี้จากถ้อยแถลงของประธานเฟด สะท้อนว่าในระยะถัดไปยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐต่อ แม้เงินเฟ้อในเดือนพ.ค.จะมีแนวโน้มต่ำกว่าคาด แต่ต้องใช้ข้อมูลเศรษฐกิจในวงกว้างเพื่อประกอบการพิจารณา

ทั้งนี้ตลาดตีความผลประชุมเฟดค่อนข้างบวก เนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อเดือนพ.ค.ที่ต่ำกว่าคาด ขณะที่ Fed watch tool ตลาดมองว่าดอกเบี้ยสหรัฐจะปรับลง 2 ครั้งในปีนี้ โดยการปรับลดครั้งแรกจะเกิดขึ้นในเดือนก.ย. จากประเด็นดังกล่าวหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐและภูมิภาคดีดตัวขึ้นไปได้

ขณะที่การประชุมคณะกรรมนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวานนี้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด และยังไม่เห็นสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งยังไม่ได้สร้างแรงหนุนให้กับตลาดในภาพรวม นอกจากนี้ประเด็นการเมืองระยะสั้นยัง Overhang ต่อไป หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้ขอพยานหลักฐานเพิ่มเติมในคดียุบพรรคก้าวไกลและคดีคุณสมบัตินายกฯของนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งการพิจารณาครั้งต่อไปในวันที่ 18 มิ.ย. รวมทั้งยังมีการพิจารณาคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันเดียวกัน ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดขึ้นไปได้แต่ไม่แรงเหมือนต่างประเทศ เนื่องจากประเด็นการเมืองที่ยังกดดันอยู่

โดยให้กรอบแนวรับ 1,310 จุดและแนวต้าน 1,330 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (12 มิ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,712.21 จุด ลดลง 35.21 จุด หรือ -0.09%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,421.03 จุด เพิ่มขึ้น 45.71 จุด หรือ +0.85% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,608.44 จุด เพิ่มขึ้น 264.89 จุด หรือ +1.53%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 18,104.13 จุด เพิ่มขึ้น 166.29 จุด หรือ +0.93%, ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,038.09 จุด เพิ่มขึ้น 0.62 จุด หรือ +0.02% และดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดที่ระดับ 39,182.06 จุด เพิ่มขึ้น 305.35 จุด หรือ +0.79%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (12 มิ.ย.) 1,316.69 จุด เพิ่มขึ้น 0.59 จุด (+0.04%) มูลค่าซื้อขาย 46,555.80 ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,749.77 ล้านบาท (12 มิ.ย.)

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. (12 มิ.ย.)เพิ่มขึ้น 60 เซนต์ หรือ 0.77% ปิดที่ 78.50 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 มิ.ย.) อยู่ที่ 4.07 เหรียญ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 36.55 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่า รับดอลลาร์อ่อน-บอนด์ยีลด์ชะลอหลัง CPI สหรัฐต่ำกว่าคาด

– จับตาผลกระทบการเมือง 18 มิ.ย.”4 คดีร้อน” จอคิว ลุ้นศาลรัฐธรรมนูญนัดถก “คดียุบก้าวไกล-40 ส.ว.ยื่นสอยเศรษฐา” สั่งยื่นบัญชีพยานเพิ่มทั้ง 2 คดี พร้อมนัดชี้ขาด 4 มาตรา “กฎหมายเลือกสว.” ขณะที่ “ชัยธวัช” มั่นใจข้อหักล้างของก้าวไกลมีมูล งัดคำให้สัมภาษณ์ “ประธาน กกต.” สู้ ระบุชัดผิดขั้นตอน ขณะที่ อัยการนัดนำตัว “ทักษิณ” ส่งฟ้องศาลคดี ม.112 “นักวิชาการ” มองการเมืองกระเพื่อม จับตาสัญญาณ “3 ล้ม”

– “คมนาคม” ดันลงนาม BEM ภายใน ต.ค.นี้ เดินหน้า “รถไฟฟ้าสายสีส้ม” เร่งเปิดให้บริการส่วนตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี ภายในปี 2571 หลังปัจจุบันสร้างเสร็จมากว่า 1 ปี ขณะที่ BTS น้อมรับคำตัดสินศาลปกครองสูงสุด ชี้ยังลุ้นคดีศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ

– เปิดผลประชุม กนง. คณะกรรมการมีมติ 6 ต่อ 1 เสียง “คงดอกเบี้ย” ที่ 2.50% มองอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเหมาะสม กับเศรษฐกิจไทย ย้ำเป้าเศรษฐกิจปีนี้ที่ 2.6% มีโอกาส “จีดีพีไทย” โตระดับ 3% หากรัฐเร่งเบิกจ่ายงบ มีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ลั่น “เงินเฟ้อ” กลับเข้ากรอบไตรมาส 4 ปีนี้ ย้ำการพิจารณาเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นการหารือ ปกติทุกปี แต่การปรับเปลี่ยนเป้าหมายเงินเฟ้อบ่อย อาจสร้างความผันผวนสู่ระบบการเงินได้

 

หุ้นเด่นวันนี้

– BEM (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus 10.31 บาท ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาข้อพิพาทโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มโดยยืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง เป็นบวกต่อ BEM ผู้ชนะการประมูล ประเมินว่าจะเซ็นสัญญาได้ใน H2/67 และเริ่มก่อสร้างต้นปีหน้า คาดให้บริการอีกราว 3-4 ปีข้างหน้า ภาพรวมเป็นบวกต่อการเติบโตระยะยาว คาดสายสีส้มจะเพิ่มมูลค่าให้ BEM อีกราว 1 บาท ส่วนกำไร 67 คาดว่าจะเติบโตได้ทั้งที่เป็น low season คาดกำไรปี 67 ที่ 3.9 พันล้านบาท +12% y-y

– SEAFCO (กสิกรไทย) “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 3.24 บาท คาดรับอานิสงส์คดีสายสีส้ม เลือกเป็นหุ้นเด่นกลุ่มผู้รับเหมางานเสาเข็ม นอกจากหุ้น CK ที่เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มผู้รับเหมางานโยธา และ BEM ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ชอบ SEAFCO ในการสร้าง backlog อย่างรวดเร็ว การฟื้นตัวของกำไรปกติที่แข็งแกร่งในปี 68 และมีศักยภาพสูงในการได้รับโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลที่จะเปิดประมูลภายหลังการเบิกจ่ายงบประมาณปี 67

– TEGH (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 4.30 บาท ประเด็นลงทุนมอง Earnings momentum ของกำไรปกติจะดีขึ้นต่อเนื่องในช่วง Q2-Q3/67 ตามทิศทางราคายางพาราในตลาด SICOM ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงจะเริ่มส่งมอบยางมาตรฐาน EUDR ตามสัญญาในเดือน มิ.ย.ไปยุโรป ราคาขายและกำไรสูงกว่ายางทั่วไป บริษัทตั้งเป้าขายยาง EUDR ราว 1.5 แสนต้นในปี 67 คิดเป็น 60% ของปริมาณขายรวม ถ้าเป็นตามคาดก็จะทำให้ GPM สูงขึ้นอย่างมีนัย ส่วนธุรกิจปาล์มที่เป็นตัวฉุดใน Q1/67 น่าจะดีขึ้นตามสภาพอากาศที่ปลี่ยนเป็น Ia Nina เอื้อปริมาณผลผลิตปาล์มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนปาล์มน้ำมันลดลง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 มิ.ย. 67)

Tags: , , ,
Back to Top