ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 61,826 ล้านบาท

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 61,826 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ

1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ขายสุทธิ 2,599 ล้านบาท

2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 3,340 ล้านบาท

ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 1,346 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 2.52%   ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน

ภาพรวมของตลาดในวันนี้

Yield Curve เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากวันก่อนหน้า สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET OUTFLOW 1,346 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET SELL 1,346 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) ด้านปัจจัยในประเทศ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี และคงแนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ไทยในปีนี้ไว้ 2.6% และปี 2568 ที่ 3.0%  ด้านปัจจัยต่างประเทศ ธนาคารโลกปรับเพิ่มคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ขยายตัว 2.6%  โดยได้แรงสนับสนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนพ.ค.  ปรับตัวขึ้น 0.3%(YoY) ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% ทั้งนี้ตลาดติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนพ.ค. ในคืนนี้

สรุปภาวะการซื้อขายตราสารหนี้

ตลาดตราสารหนี้ไทย12-06-2024Change%Change
 มูลค่าการซื้อขาย61,826.25 ลบ.
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 3 เดือน2.32 %เพิ่มขึ้น0.01 %
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 1 ปี2.34 %0.00 %
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี2.52 %0.00 %

มูลค่าการซื้อขายแบบ Outright (แยกตามประเภทตราสาร)

ประเภทตราสารล้านบาทChange%Change
ตั๋วเงินคลัง318.14ลดลง96 %
พันธบัตรรัฐบาล19,617.27พิ่มขึ้น29 %
ตั๋วสัญญาใช้เงินรัฐบาล0.00n/a
พันธบัตร ธปท.32,719.52ลดลง68 %
พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ0.00ลดลง100 %
หุ้นกู้เอกชน8,187.04พิ่มขึ้น43 %
พันธบัตรต่างประเทศ0.61n/a

หมายเหตุ: n/a คือ หาค่าไม่ได้ เนื่องจากไม่มีมูลค่าการซื้อขายในวันก่อนหน้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 มิ.ย. 67)

Tags: , , ,
Back to Top