BTS ร่วงทำจุดต่ำสุดในรอบ 11 ปี 6 เดือนฉุดบริษัทที่เข้าไปลงทุนลงยกแผง โดยปิดตลาดราคาปรับตัวลง 4.17% มาอยู่ที่ 4.60 บาท ลดลง 0.20 บาท มูลค่าซื้อขายสูงสุดของวันนี้ที่ 3,940.41 ล้านบาท
VGI ลบ 4.00% มาอยู่ที่ 1.44 บาท ลดลง 0.06 บาท มูลค่าซื้อขาย 132.10 ล้านบาท
RABBIT ร่วง 13.16% มาอยู่ที่ 0.33 บาท ลดลง 0.05 บาท มูลค่าซื้อขาย 16.92 ล้านบาท
JMART ร่วง 10.40% มาอยู่ที่ 11.20 บาท ลดลง 1.30 บาท มูลค่าซื้อขาย 297.75 ล้านบาท
JMT ร่วง 8.44% มาอยู่ที่ 14.10 บาท ลดลง 1.30 บาท มูลค่าซื้อขาย 837.37 ล้านบาท
SINGER ร่วง 16.04% มาอยู่ที่ 7.85 บาท ลดลง 1.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 156.99 ล้านบาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นบมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ปรับลดจากผลประกอบการที่ยังคงอ่อนแอและความกังวลเรื่องเพิ่มทุน ซึ่งทิสโก้อยู่ระหว่างทบทวนประมาณการกำไร มูลค่าที่เหมาะสม และคำแนะนำ
“เราจะปรับประมาณการกำไร มูลค่าที่เหมาะสมและคำแนะนำหลังประชุมนักวิเคราะห์ปลายสัปดาห์นี้ ปัจจัยเสี่ยงหลักๆของ BTS คือ จำนวนผู้โดยสารของรถไฟฟ้าที่ต่ำกว่าคาด, ค่าใช้จ่ายจากการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองมากกว่าคาด รวมถึงเศรษฐกิจที่ชะลอตัว”ทิสโก้ ระบุ
ราคาหุ้น BTS ปรับลดลงถึง 18% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังประกาศงบงวดปี 66/67 ขาดทุน 5.2 พันล้านบาท แต่หลักๆ มาจากการตั้งด้อยค่าเงินลงทุนใน KEX ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในไตรมาสที่แล้ว อย่างไรก็ตามกำไร 4Q66/67 ยังคงอ่อนแอหลักๆมาจากผลขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู นอกจากนั้นยังมีความกังวลเรื่องเพิ่มทุนหลังบริษัทมีมติขออนุมติเพิ่มทุนแบบ General Mandate จำนวนไม่เกิน 2.6 พันล้านบาทโดยออกหุ้นสามัญไม่เกิน 650 ล้านหุ้นเพื่อเสนอขายแบบ PP อย่างไรก็ตามแผนดังกล่าวเป็นเพียงการขอเผื่อไว้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้บริษัท ซึ่งบริษัทขอไว้เป็นประจำทุกปีแต่ไม่เคยใช้ เราจึงเชื่อว่าไม่น่ามีการเพิ่มทุนแต่อย่างใด
กำไรก่อนรายการพิเศษปี 66/67 ยังคงเป็นบวกแต่ลดลงมาก โดย BTS รายงานผลขาดทุนสุทธิที่ 5,241 ล้านบาทสำหรับปี 66/67 สาเหตุหลัก ๆ มาจากผลขาดทุนจากการด้อยค่าและจำหน่ายเงินลงทุนใน KEX, ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วม หลัก ๆ มาจาก Rabbit Holdings และ KEX รวมถึงต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 275 ล้านบาท ลดลง 86% หลัก ๆ มาจากส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วม เช่น Rabbit Holdings และ KEX รวมถึงขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู
คาดกลับมาเป็นกำไรใน 4Q66/67 แต่กำไรก่อนรายการพิเศษยังคงลดลง YoY และ QoQ โดยกำไรสุทธิใน 4Q66/67 อยู่ที่ 36 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 222 ล้านบาท และ 4,762 ล้านบาท ในปีก่อนและไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาสนี้ไม่มีขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนใน KEX และ SINGER เหมือนไตรมาสที่แล้ว แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรจากการดำเนินงาน (Net recurring Income) อยู่ที่ 79.6 ล้านบาท ลด 45% QoQ สาเหตุมาจากผลขาดทุนจากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพู โดยรายได้รวมในไตรมาสนี้ลดลง 23% YoY และ 25% QoQ หลักๆมาจากรายได้จากการให้บริการรับเหมาลดลง 80% YoY QoQ ภายหลังรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูเปิดให้บริการ ส่วนกำไรขั้นต้นลดลง 31% YoY และ 21% QoQ หลักๆมาจากการรับรู้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู นอกจากนั้นดอกเบี้ยจ่ายยังเพิ่มขึ้น 85% YoY และ 13% QoQ จากการเปิดให้บริการของสายสีเหลืองและสีชมพู
คาดขาดทุนจากสายสีเหลืองและชมพูจะฉุดกำไรให้ยังคงอ่อนแอ เรามองว่าผลประกอบการ BTS น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปีที่แล้วเนื่องจาก 1. คาดไม่มีการตั้งด้อยค่าเงินลงทุนมากเหมือนปีที่แล้วอีก, 2. ธุรกิจ MOVE มีรายได้ที่สม่ำเสมอจากรับจ้างเดินรถ และส่วนแบ่งกำไรจาก BTSGIF ที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้โดยสาร, 3. ธุรกิจ MIX คาดจะดีขึ้นตามรายได้สื่อโฆษณาที่เติบโตและไม่มีส่วนแบ่งขาดทุนจาก KEX อีก, และ 4. ธุรกิจ MATCH คาดส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในแรบบิทโฮลดิ้งส์กับ JMART มีแนวโน้มจะลดลง
แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ากำไรจะยังคงอ่อนแอ จากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่จะยังขาดทุนจาก Financing Cost ประมาณ 1.6 พันล้านบาท/ปี และต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 ปีกว่าที่จะถึงระดับ Breakeven
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 มิ.ย. 67)
Tags: BTS, บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์