ASP มองหุ้นไทย พ.ค.เริ่ม Upside เปิดกว้าง รับแรงบวกกำไร Q1 บจ.ฟื้น-รัฐเตรียมเร่งเบิกจ่ายงบฯ

บล.เอเซีย พลัส ประเมินภาพเศรษฐกิจในช่วงเดือน พ.ค. ตลาดหุ้นไทยตอบกลับความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์จน Upside เปิดกว้าง เป้าหมายที่ 1,580 จุด ประกอบกับนโยบายการคลังที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจผ่านการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 บวกกำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มฟื้นตัวเป็นขั้นบันได โดยที่ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ค. มีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุด และเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงเศรษฐกิจ

อาทิ นโยบายการคลังที่เข้มข้นผ่านการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ภายในช่วงเวลาเพียง 5-6 เดือน ด้วยมูลค่า 3.48 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 9.3% รวมถึงมาตรการกระตุ้นต่างๆ ของภาครัฐ ทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท, ฟรีค่าธรรมเนียม VISA สำหรับนักท่องเที่ยว และการแจกเงิน Digital 10,000 บาท ในระยะถัดไป

แม้ว่าทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ อาจจะคงไว้ 5.5% ยาวนานขึ้น หลังเงินเฟ้อสูงกว่าคาดจากประเด็นสงครามตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อ แต่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงน่าจะเริ่มเห็นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ นอกจากนี้ยังมีการสร้างความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของตลาดหุ้นไทย คอยหนุนปริมาณการซื้อขายจะค่อยๆกลับมา หลังทางการออกมาตรการควบคุม Short Sell คาดเริ่มมีผลบังคับใช้ช่วงปลายไตรมาส 2/67 ช่วยหนุน Turnover ของ SET มีโอกาสกลับมาสูงกว่า 70% ต่อปี

ส่วนประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามการรายงาน GDP ไทย งวด 1Q67 ตลาดคาดจะเพิ่มขึ้น 0.6% QoQ หลบความเสี่ยง Technical Recession ได้ และมีโอกาสฟื้นขึ้นเป็นขั้นบันใด ส่วนทางเศรษฐกิจโลกที่ทยอยย่อตัวลง อีกทั้งต้องติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบาย (กนง.) และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเป็นทิศทางอย่างไร ก่อนการประชุมช่วงกลางเดือนมิ.ย. 67

ในมุมตลาดหุ้นไทยมีความน่าลงทุนมากขึ้น คือ 1. มุมกำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 1/67 ที่มีโอกาสเติบโต QoQ เด่น จากฐานกำไรงวดไตรมาส 4/66 ที่ต่ำกว่าปกติ พร้อมกับมีกำไรจากอัตรา แลกเปลี่ยนหนุนหลังค่าเงินบาทอ่อนค่าแรงกว่า 7% ในช่วงไตรมาส 1/67 ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่ามีสัดส่วน Market Cap กว่า 40% รวมถึงราคาน้ำมันดิบโลกปรับขึ้นแรงเกิน 15% ytd หนุนให้เกิด Stock Gain ในหุ้น Commodity ที่มีสัดส่วน หลักในตลาด

2. มุม Valuation SET จะเห็นแนวรับสำคัญทางพื้นฐานที่บริเวณ 1,350 จุด โดย SET ที่ระดับ 1,350 จุด มี PER67F ที่ 14.7 เท่า (- 1SD ในรอบ 10 ปี) และเป็นระดับต่ำสุดรองจากช่วงวิกฤตโควิด-19 ในปี 63 ขณะที่ในเชิง PBV มีค่าที่ 1.31 เท่า (-2SD ในรอบ 10 ปี) อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่ส่วนต่างผลตอบแทนตราสารหนี้กับหุ้นกว้างมาก โดยมี MEYG ที่ 4.25% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต) หนุนให้เม็ดเงินมีโอกาสทยอยไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงในระยะถัดไป ขณะเดียวกัน SET Index ยังมี Upside จากดัชนีเป้าหมายที่ 1,580 จุด อยู่พอสมควร

โดยกลยุทธ์การลงทุน เดือนพ.ค. 67 แนะนำหุ้นพื้นฐาน กำไรฟื้น ได้แรง หนุนจากนโยบายภาครัฐ อย่าง CPALL, KBANK, SJWD, CK, WHA และ CPF

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 พ.ค. 67)

Tags: ,
Back to Top