พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.ตร.) กรณี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการไว้ก่อนโดยมิชอบ
รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า วันนี้ได้ยื่นเรื่องร้องเรียน 2 ส่วน คือ ก.พ.ค.ตร. และ ก.ตร. เพื่ออุทธรณ์เกี่ยวกับคำสั่งให้ออกจากราชการ ซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองที่รักษาการแทน ผบ.ตร.ได้ลงนาม
พร้อมนำแผนผัง “ขบวนการ 4 × 100 สยบปีก พระพรหม” ที่ทำเป็นขบวนการ ประกอบด้วย 4 ชุด คือ ชุดตรวจค้นบ้าน ตระกูลสี่ ต.เต่า (ต่อ เต่า ตุ้ม ไตร) พนักงานสอบสวนชุดคดีสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ พนักงานสอบสวนชุดคดีสถานีตำรวจนครบาลเตาปูน และชุดรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องเป็นขบวนการตั้งแต่ตรวจค้นบ้าน ออกหมายเรียก ออกหมายจับ จนกระทั่งถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน และมีคำสั่งให้ตนออกจากราชการไว้ก่อน โดยสร้างเรื่องเว็บพนันขึ้นมาดำเนินคดีกับตนเองและผู้ใต้บังคับบัญชา 8 คน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติปี 2547 ข้อ 8 มาตรา 131 ที่ระบุว่า “กรณีสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนต้องใช้ กฎ ก.ตร. ปี 2547 มาประกอบ หากแต่ในข้อ 8 ของกฎ ก.ตร. ปี 2547 กรณีการสอบสวนไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว ขัดแย้งกันในข้อกฎหมายตามที่กล่าวไป จึงต้องนำมาตรา 120 มาใช้แทน ระบุว่าการสอบสวนข้อเท็จจริงต้องให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน หลังจากนั้นจะส่งให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาเป็นผู้พิจารณา แต่คำสั่งครั้งนี้มีความขัดแย้งกัน จึงต้องยกเลิกคำสั่งให้ออกจากราชการนี้ไปโดยปริยาย เพราะถือเป็นการให้ออกจากราชการโดยมิชอบ
นอกจากนี้ใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติปี 65 ยังระบุว่า ระหว่างการสอบสวนจะนำเหตุแห่งการสอบสวนมาเป็นข้ออ้างในการดำเนินการใด ให้กระทบต่อสิทธิของผู้ถูกสอบสวนไม่ได้ เว้นแต่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสอบสวนแล้วมีความเห็นไปถึงผู้บัญชาการภาคหรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าจะมีดุลยพินิจอย่างไร
“กรณีของตนเองนั้นมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนในวันเดียวกับที่มีคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการ ดังนั้นจึงไม่มีข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการสอบสวนที่มี พล.ต.อ.สราวุฒิ การพาณิชย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เป็นหัวหน้าคณะตามกฎหมายฉบับดังกล่าว เป็นการกลับไปใช้กฎหมายฉบับเดิมปี 2547 ที่ให้เป็นไป ตามดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชา” รอง ผบ.ตร. กล่าว
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า โดยการกระทำดังกล่าวรักษาราชการแทน ผบ.ตรงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องติดคุก อีกทั้งที่ผ่านมามีตำรวจกว่า 500 นายที่ถูกดำเนินคดีแต่ไม่มีใครถูกสั่งให้ออกจากราชการเหมือนกับตนเอง อีกทั้งยังได้สอบถามกับ ผอ.กองวินัย ซึ่งระบุว่าได้มีการประมวลเรื่องดังกล่าวไว้ 2 วันก่อนจะมีคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการ คือมีการร่างคำสั่งให้ออกราชการเตรียมเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. และลงนามในวันที่ 18 เม.ย. แสดงให้เห็นว่า มีขบวนการให้ตนเองออกจากราชการ
หลังจากนี้จะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตั้งแต่รักษาราชการแทน ผบ.ตร., ผู้บัญชาการกฎหมาย กมค., ผู้บังคับการกองคดี, ผู้บังคับการสารนิเทศ, เลขานุการ ตร. รวมถึงผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีที่มาปลดป้ายตนเองและปลดจากทำเนียบผู้บังคับบัญชาออก ทั้งที่ยังไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตนเองออกจากราชการ ถือเป็นการทำให้ตนเองเสื่อมเสีย ดังนั้นจะยื่นฟ้องดำเนินคดีทั้งหมด
รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า การให้รอง ผบ.ตร.ออกจากราชการนั้นแม้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่นี่มีความรีบ เพราะมีคนกระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็น ผบ.ตร. ตอนนี้ตนเองไม่ใช่ผู้ต้องหาแต่เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา เพราะตราบใดก็ตามที่ ป.ป.ช. ยังไม่มีการชี้มูลความผิด ก็ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และยังมีคุณสมบัติที่จะเป็น ผบ.ตร.ได้ทุกอย่าง อีกทั้งเป็นรองผบ.ตร. อันดับ 1
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 เม.ย. 67)
Tags: บิ๊กโจ๊ก, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สุรเชษฐ์ หักพาล