นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ความตึงเครียดของสถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ และยังมีความไม่นอนสูง เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น หุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดดเด่นเป็นหุ้นกลุ่มน้ำมันและโรงกลั่น ได้แก่ PTTEP, PTT, TOP, SPRC และ BCP อาจเก็งกำไรระยะสั้นจากราคาน้ำมันได้ หรือหาจังหวะทยอยสะสมเพื่อถือลงทุนยาว เพราะเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ให้เงินปันผลดีด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูงก็จะตามมาด้วยเงินเฟ้อสูงด้วย ทำให้ธนาคารกลางต่างๆ มีแนวโน้มจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะแบงก์ขนาดใหญ่ ได้แก่ BBL, SCB และ TTB ที่ยังสามารถเข้าลงทุนเป็นที่หลบภัยในช่วงที่ยังมีความไม่แน่นอนด้วยเช่นกัน
แต่หากมองหุ้นกลุ่มอิงการการบริโภคในประเทศ คงต้องมีการพิจารณาเป็นรายตัว เพราะมีความเสี่ยงจากผลกระทบราคาน้ำมันสูง เนื่องจากน้ำมันและค่าขนส่งถือเป็นหนึ่งในต้นทุนที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ในส่วนนี้มองว่าธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่อย่าง CPALL และ CPAXT ที่มีเครือข่ายและระบบการบริหารจัดการที่ดี น่าจะสามารถควบคุมต้นทุนในส่วนนี้ได้ดีกว่ารายเล็ก และผลกระทบจากความผันผวนยอดขายหากนักท่องเที่ยวลดลงไปไม่มากนัก เพราะคนในประเทศยังต้องจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน อีกทั้ง CPALL ยังมีปัจจัยหนุนในเรื่องดิจิทัลวอลเลตในช่วงปลายปีนี้เข้ามาเสริม
รวมถึงศูนย์การค้าขนาดใหญ่อย่าง CPN ที่อิงกับรายได้ค่าเช่า ยังคงเป็นหุ้นที่ยังสามารถเข้าลงทุนได้ อีกทั้งหุ้นกลุ่มสื่อสารยังเป็นหุ้นที่เข้าไปหลบภัยได้ เนื่องจากอิงกับกลุ่มผู้ใช้บริการในประเทศเป็นหลัก ซึ่งยังคงแนะนำ ADVANC เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มสื่อสาร
นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ยังมองว่า Event สงครามในตะวันออกกลางยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นต่อไปได้อีก หุ้นที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดเป็นกลุ่มแรก ๆ เป็นหุ้นที่สามารถเข้าลงทุนได้ในช่วงที่ยังมีความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง คือ หุ้นพลังงานต้นน้ำ ได้แก่ PTTEP หากราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นทุก 5 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ จะส่งผลบวกต่อผลงานของ PTTEP ราว 8% และรองลงมาเป็นกลุ่มโรงกลั่น ได้แก่ TOP และ BCP
โดยราคาน้ำมันสูงจะเป็นปัจจัยกดดันต่อต้นทุนของกลุ่มที่ใช้น้ำมันในการผลิตและการบริการ เช่น กลุ่มสายการบิน กลุ่มขนส่ง กลุ่มผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม อาจได้รับแรงกดดันจากต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่มีอาจจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันด้วยเช่นกัน หากมองหุ้นที่มีศักยภาพ มีความสามารถในการบริหารจัดการที่ดี และเป็นกลุ่ม Domestic play มองว่า CPALL ยังเป็นหุ้นที่มีความได้เปรียบ และโดดเด่น จากการที่มีความสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี และเป็นทางเลือกหลักของคนในประเทศ ซึ่งไม่ได้อิงกับนักท่องเที่ยวมากนัก
สำหรับหุ้นที่เป็นกลุ่ม Defensive ในกลุ่มโรงพยาบาลอาจจะสลับไปที่โรงพยาบาลที่มีลูกค้าในประเทศเป็นหลัก เช่น BCH แทนโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนลูกค้าตะวันออกกลางแทน และหุ้นที่ยังคงได้รับประโยชน์จากการที่เงินเฟ้อยังสูงทำให้อัตราดอกเบี้ยยังต้องสูงต่อไป กลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ คือ BBL ที่มีสัดส่วนลูกค้ารายใหญ่มากที่สุดและเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีต่อเนื่อง มีความเสี่ยงต่ำ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 เม.ย. 67)
Tags: หุ้นไทย, เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม