BAY คาดกรอบบาทสัปดาห์นี้ 36.00-36.70 ลุ้นข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯ

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 36.00-36.70 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 36.39 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 36.24-36.54 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินดอลลาร์ปรับตัวไร้ทิศทางเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ด้านค่าเงินเยนลดความผันผวนลง ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) กระทรวงการคลัง และสำนักงานบริการทางการเงินของญี่ปุ่นจัดประชุมฉุกเฉิน หลังเงินเยนร่วงลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 34 ปี ท่าทีของทางการญี่ปุ่นบ่งชี้ว่าพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงตลาด โดยระบุว่านักเก็งกำไรอาจอยู่เบื้องหลังการอ่อนค่าของเงินเยน และทางการจับตาดูความเคลื่อนไหวในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดและจำเป็นเร่งด่วน และต้องการให้ค่าเงินเคลื่อนไหวสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน โดยการปรับตัวอย่างรวดเร็วถือเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนา

อนึ่ง การซื้อขายสกุลเงินหลักซึมลงท้ายสัปดาห์ ขณะเข้าสู่ช่วงเทศกาล Easter ขณะที่เงินบาทแตะระดับอ่อนสุดรอบ 5 เดือนครั้งใหม่ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 113 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 14,758 ล้านบาท ส่วนในไตรมาสแรกของปี เงินบาทอ่อนค่าลงถึง 6.4% โดยเป็นสกุลเงินที่อ่อนค่ามากที่สุดของภูมิภาคเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น

ภาพรวมในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะติดตามข้อมูล ISM ภาคการผลิตและบริการ รวมถึงการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.ของสหรัฐฯ หลังตัวเลขเงินเฟ้อ PCE เดือนก.พ. ออกมาตรงตามการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แสดงท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้เกี่ยวกับจังหวะเวลาที่เฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ย และให้น้ำหนักกับภาวะตลาดแรงงานอย่างชัดเจนมากขึ้นในการตัดสินใจด้านนโยบาย ทำให้ข้อมูลสัปดาห์นี้ มีความสำคัญต่อการคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟดในระยะถัดไป

ส่วนปัจจัยในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมี.ค.ยังติดลบต่อเนื่อง ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเศรษฐกิจไทยเดือนก.พ.ขยายตัวต่ำ โดยภาคบริการเติบโต แต่เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนทรงตัว ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยับขึ้นจากเดือนก่อนหน้า การส่งออกไม่รวมทองคำลดลง ขณะที่บัญชีเดินสะพัดเดือนก.พ.เกินดุล 2 พันล้านดอลลาร์ ธปท. ประเมินว่าเศรษฐกิจเดือนมี.ค. ยังได้รับแรงส่งจากภาคท่องเที่ยว แต่ต้องติดตามการฟื้นตัวของการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ส่วนหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 4/66 คิดเป็น 91.3% ของจีดีพี เทียบกับ 91.0% สิ้นไตรมาส 3/66

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 เม.ย. 67)

Tags: ,
Back to Top