นายกฯ ปัดฝุ่นโครงการรัฐบาลไทยรักไทย “1 ล้านวิสาหกิจ 1 กีฬา” อัดฉีดงบ 1.6 พันลบ.

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนสมาคมกีฬาจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน โดยกล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีกับโครงการ 1 ล้านวิสาหกิจ 1 กีฬา ซึ่งเป็นการนำโครงการที่มีประโยชน์อย่างมหาศาลกับประเทศชาติกลับเข้ามาทำใหม่ โดยจัดงบประมาณ 1,640 ล้านบาทใน 4 ปี

สำหรับนโยบาย 1 ล้านวิสาหกิจ 1 กีฬา มีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทย เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาเริ่มต้นทำมา ซึ่งตนเองชื่นชอบและรักเรื่องกีฬาอยู่แล้ว การที่พรรคเพื่อไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลในวันนี้ จึงให้ความสำคัญเรื่องนี้มากและเข้าใจถึงหัวใจของคนที่รักกีฬา เข้าใจถึงความสำคัญของกีฬา

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่สมาคมกีฬาต่างๆ ได้รับการอุดหนุนจากรัฐวิสาหกิจในขณะนี้ก็ยังมีเวลาที่จะขอเรื่องงบประมาณได้ เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพราะตนคนเดียว แต่คณะทำงานมีความโปร่งใสมีความเป็นธรรมในเรื่องการคัดเลือกบุคคลการดูแลเยาวชนต่างๆ เพื่อให้มีพื้นที่ในการออกกำลังกายไม่หมกมุ่นในเรื่องอบายมุขทั้งหลาย ถือเป็นความลงตัวและรัฐวิสาหกิจให้ความสำคัญเรื่องนี้ ต้องขอขอบคุณจากใจจริงหากไม่มีรัฐวิสาหกิจ เราก็ไม่มีงบประมาณมาใช้ตรงนี้

“เรื่องของงบประมาณที่สนับสนุนเรื่องวงการกีฬา ทราบกันดีว่ามีการลดลงทุกปี จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หรือจากงบประมาณแผ่นดินก็ลดน้อยลงไป แต่ตราบใดที่ผมยังเป็นนายกฯ อยู่ ผมจะไม่ทำให้วงการกีฬาต้องขาดงบประมาณ จะดูแลวงการกีฬาอย่างเต็มความสามารถ ให้มีความสมดุลย์กับการขยายตัวของเศรษฐกิจการใช้งบประมาณอย่างถูกต้อง ปราศจากการทุจริตประพฤติมิชอบ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญไม่ใช่แค่เรื่องเงินอัดฉีดหรืองบประมาณอย่างเดียวแต่เรื่องนโยบายเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องดูแลบุคลากรที่ทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติถือว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาล” นายกฯ กล่าว

ทั้งนี้ ภาคเอกชนก็ได้มีการช่วยเหลือค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นเรื่องการอัดฉีดงบก็อีกเรื่องหนึ่ง การอัดฉีดผู้ที่ได้รับเหรียญก็อีกเรื่องหนึ่ง ควรให้นักกีฬามีความสบายใจได้ว่าหากเป็นตัวแทนประเทศชาติ เป็นตัวแทนธงไตรรงค์ที่โบกสะบัดไปทั่วโลก ถ้าหมดช่วงที่เป็นนักกีฬาแล้วจะสามารถมีหน้าที่การงานที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ถือเป็นหน้าที่ของกระทรวงทั้งหลายที่ต้องพิจารณาในการจ้างบุคคลเหล่านี้เข้ามาทำงาน ไม่ใช่แค่เรื่องงบประมาณที่พูดถึง แต่ต้องเพิ่มเรื่องการใส่ใจใส่นโยบายเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องกีฬาเป็น หน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันดูแลเยาวชน ดีใจที่เกิดขึ้นได้เพราะทุกคน

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 มี.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top