ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) ระบุในบทวิจัย “ประเทศไทยกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า” โดยตั้งคำถามว่า อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไทยมีโอกาสเติบโต “เร็วและแรง” เหมือนในอดีตหรือไม่?
ในช่วงทศวรรษ 1990 ไทยเคยครองตำแหน่งแชมป์ผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของภูมิภาคมาแล้ว ซึ่งเป็นยุคที่ไทยได้ชื่อว่าเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” แต่ครั้งนี้ไทยจะคว้าแชมป์การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้อีกครั้งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ คือ การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (FDI)
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา เม็ดเงินลงทุนลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในธุรกิจ EV ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน ต่างจากในอดีตที่ส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น โดยไทยต้อง “Fast & Furious” หรือ “เร็วและแรง” ในการดึงดูดต่างชาติเข้าในลงทุนในธุรกิจ EV มากขึ้น เพราะเม็ดเงินลงทุนต่างชาติยังไม่มากเท่ากับยุค 90 เมื่อปรับค่าเงินสมัยนั้นให้เทียบเท่ากับค่าเงินปัจจุบัน
“สถานการณ์นี้ไม่ต่างจากภาพยนตร์แอ็คชันสุดมันส์เรื่อง Fast & Furious เนื่องจากประเทศไทยเคยประสบความสำเร็จในภาคแรกมาแล้ว และขณะนี้กำลังลุ้นว่าภาคต่อจะตื่นเต้นกว่าเดิมหรือไม่ ในมุมมองของเรา แม้ว่าหนังยังฉายไม่จบเรื่อง เราก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าประเทศไทยควรเร่งสนับสนุนให้มีแนวทางเชิงรุกที่ Fast & Furious หรือ เร็วและแรง มากกว่านี้ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า” บทวิจัยฯ ระบุ
กุญแจสำคัญอยู่ที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เนื่องจากเทคโนโลยี EV ยังมีความซับซ้อน เมื่อเปรียบเทียบเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากับเม็ดเงินในช่วงยุค 90 ที่ได้ชื่อว่าเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย พบว่าการเติบโตของการลงทุนยังไม่เร็วและแรงเท่ากับยุคสมัยนั้น
ธนาคารเอชเอสบีซี ประเมินว่าไทยยังต้องการเงินทุน FDI สำหรับรถ EV เพิ่มขึ้น 4 เท่า หรือคิดเป็นจำนวน 794 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 28,100 ล้านบาทต่อปี สำหรับช่วง 7 ปีข้างหน้า หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 4.7 พันล้านดอลลาร์ หรือ 166,900 ล้านบาท เพื่อให้เท่ากับจังหวะการลงทุนในช่วงยุค 90 ซึ่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากบริษัทข้ามชาติ (MNC) ของญี่ปุ่น แต่มีความท้าทายตรงที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทยมีปัจจัยที่ดึงดูดให้แบรนด์รถไฟฟ้ารายใหญ่ของโลกต้องการเข้าไปลงทุน แม้คำมั่นสัญญาในการลงทุน FDI ที่ไทยได้รับสำหรับรถ EV เจเนอเรชั่นใหม่ในอนาคตดูเหมือนจะเป็นที่น่าพอใจแล้ว แต่ไทยยังคงต้องพิสูจน์อีกว่าคำมั่นสัญญาดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงและมีการสร้างโรงงานผลิต
อย่างไรก็ตาม การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับ EV นั้นไม่จำเป็นต้องแรงเท่าเดิม เพื่อให้ไทยประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย 30@30 ซึ่งตั้งเป้าให้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 30% ของการผลิตทั้งหมดภายในปี 2573 หรือเท่ากับจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งสิ้น 725,000 คัน
แม้รถยนต์จะเปลี่ยนไปใช้ระบบไฟฟ้า แต่ส่วนประกอบพื้นฐานส่วนใหญ่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไทยจึงยังสามารถใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีอยู่เดิมได้ โดยไทยน่าจะเป็นประเทศที่ต้องปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานน้อยที่สุดในกลุ่มอาเซียนสำหรับการผลิตรถ EV ในจำนวนเท่ากัน และด้วยคำมั่นสัญญาการลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ภาครัฐมีความมั่นใจว่าไทยจะสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ 359,000 คันภายในปี 2568
ทั้งนี้ยังต้องจับตาดูว่าการไหลเข้าของเงินลงทุน FDI ที่เกี่ยวข้องกับรถ EV ในสมัยนี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศได้มากเท่ากับการลงทุน FDI ที่มาจากญี่ปุ่นเป็นหลักในช่วงยุค 90 หรือไม่ จากที่ไทยเคยมีญี่ปุ่นเป็นนายทุนหลักมาตลอดระยะเวลาสามทศวรรษ แต่ปัจจุบันจีนกลับกลายเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในการผลิตรถ EV ของไทย เนื่องจากจีนต้องการขยายฐานการผลิตของอุตสาหกรรม EV ที่กำลังเติบโตเข้ามาในอาเซียนแทน เรื่องนี้คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกสุทธิของรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์มีสัดส่วนถึงเกือบหนึ่งในสิบของมูลค่าเศรษฐกิจไทย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 มี.ค. 67)
Tags: EV, HSBC, ธนาคารเอชเอสบีซี, ยานยนต์ไฟฟ้า