บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) รายงานผลการดำเนินธุรกิจประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2566 มีรายได้จากยอดขายรวมที่ 4,748 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 767 ล้านบาท 19% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อีกทั้งยังเติบโตเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปี 65 ผลจากปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำที่เพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากยอดขายรวมตลอดทั้งปี 66 อยู่ที่ 15,577 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,281 ล้านบาท เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวจากภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/66
นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ITC กล่าวว่า ตลอดทั้งปี 2566 ธุรกิจการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทาย ซึ่งเป็นผลจากแรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรมและการระบายสินค้าคงคลังจากกลุ่มแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำระดับโลก ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของไอ-เทลมีปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าลดลงตลอดช่วงครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ตาม เรามองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวจากปริมาณการสั่งซื้อจากลูกค้าที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ยังคงต่ำกว่ายอดขายรวมของปี 65 ที่สูงกว่าระดับปกติ โดยบริษัทยังคงมุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง
“แม้ว่าต้องเผชิญกับอุปสรรคและช่วงเวลาที่ท้าทายในปี 66 สำหรับไอ-เทล ปัจจัยดังกล่าวที่เข้ามากระทบการดำเนินธุรกิจ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้เราได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ในการปรับตัวได้ดีมากยิ่งขึ้น ด้วยการเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ปรับกระบวนการทำงานและการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาสินค้าและบริการของเราให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลกและรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมียมและรูปแบบ Humanization ในหลายภูมิภาคทั่วโลก อีกทั้ง บริษัทฯ ยังเดินหน้าศึกษาและพัฒนาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กลุ่มเสริมอาหาร (Supplement) สำหรับสัตว์เลี้ยง โดยวางเป้าหมายการเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดภายในปี 568”
ในปี 66 ITC ก่อตั้งบริษัทในเครือภายใต้ชื่อ i-Tail Europe B.V. (ITE) ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ i-Tail Pet Food (Shanghai) Limited Co. (ITS) ที่ประเทศจีน เพื่อเดินหน้ากลยุทธ์ขยายการดำเนินธุรกิจและเร่งสร้างการเติบโตสู่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในทวีปยุโรปและประเทศจีน อีกทั้ง บริษัทยังเซ็นสัญญาทางธุรกิจร่วมกับลูกค้ารายใหม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 31 ราย รวมถึงลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ในสหรัฐด้วย ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังขยายการดำเนินธุรกิจสินค้า Private Label กับบริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในฝรั่งเศส และมีรายได้จากคำสั่งซื้อสินค้า Private Label จากหนึ่งในบริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในปี 66
นอกจากนี้ ยังยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัวศูนย์วิจัยอาหารแมว (i-Cattery) ตั้งอยู่ ณ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขต ศาลายา ในช่วงกลางปี 66 ด้วยความตั้งใจในการเป็นศูนย์กลางสำหรับความร่วมมือด้านการวิจัยร่วมกับภาคการศึกษา ลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และภาคส่วนต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและสร้างการยอมรับในเวทีระดับโลกถึงผลิตภัณฑ์อาหารแมวของไอ-เทลที่มีคุณภาพ ปลอดภัย รับรองด้วยมาตรฐานการวิจัยระดับสากล
อีกทั้ง บริษัทเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้วยการสร้างโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดสมุทรสาครตั้งแต่ช่วงปลายปี 64 ด้วยเป้าหมายการขยายกำลังการผลิตสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและขนมทานเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพิ่มขึ้นอีก 18.7% ด้วยระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ (Automation) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มต้นการผลิตภายในไตรมาสที่ 2/67
ทั้งนี้ ยอดขายในปี 66 มีสัดส่วนของยอดขายตามภูมิภาคดังนี้ สหรัฐ 50% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 37% และยุโรปอยู่ที่ 13% อีกทั้ง สามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 70% อาหารสุนัข 15% ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 12% และธุรกิจอื่นๆ อีก 3% และได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่และสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูงออกสู่ตลาดมากกว่า 1,300 รายการ
ท้ายที่สุดนี้ ไอ-เทล ยังคงมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความยั่งยืนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ SeaChange® 2030 โดยภายในปี 73 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการจัดซื้อวัตถุดิบในกลุ่มของเนื้อไก่ทั้งหมดจากแหล่งผลิตที่มีความรับผิดชอบ รวมถึงวัตถุดิบในกลุ่มถั่วเหลืองและน้ำมันถั่วเหลืองทั้งหมดต้องมาจากกระบวนการผลิตที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้อีกด้วย
“ในปี 66 แม้ว่าไอ-เทลจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้ แต่เรายังคงไม่หยุดยั้งการพัฒนาความสามารถและความเชี่ยวชาญของเราในการเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำระดับโลก และยังคงดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายการรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยของยอดขายรวมที่ 15% ต่อปี ระหว่างปี 66 ถึง 68 รวมถึงการเป็นกำลังสำคัญเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต” นายพิชิตชัยกล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ก.พ. 67)
Tags: ITC, Pet Food, อาหารสัตว์เลี้ยง, อุตสาหกรรม, ไอเทล คอร์ปอเรชั่น