จนท.เฟดประสานเสียงไม่เร่งหั่นดอกเบี้ย รอเงินเฟ้อแตะเป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน

เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่างก็ออกมาส่งสัญญาณว่าเฟดจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้อของสหรัฐกำลังชะลอตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%

นางเอเดรียนา คุกเลอร์ หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟดกล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันบรูกิงส์ (Brookings Institution) เมื่อวานนี้ว่า “เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หากเงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ย้ำว่าการจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้นั้น เงินเฟ้อจะต้องปรับตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%”

อย่างไรก็ดี นางคุกเลอร์ไม่ได้ระบุว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยคือช่วงเวลาใด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับว่าเงินเฟ้อปรับตัวลงรวดเร็วเพียงใด

ขณะที่นางซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟดสาขาบอสตันกล่าวในการประชุมสมาคมเศรษฐกิจแห่งเมืองบอสตันเมื่อวานนี้ว่า “ขณะนี้เงินเฟ้อสหรัฐกำลังอยู่ในทิศทางที่มีเสถียรภาพและมีแนวโน้มที่จะลดลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% โดยหากสถานการณ์เงินเฟ้อยังคงมีความคืบหน้าเช่นนี้ เฟดก็อาจจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ อย่างไรก็ดี เฟดจำเป็นต้องมีหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อให้มั่นใจว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน”

ทางด้านนายโทมัส บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวมาร์เก็ตวอตช์เมื่อวานนี้ว่า “ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความคืบหน้าของเงินเฟ้อเมื่อไม่นานมานี้ อาจเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ผมมองว่าเป็นความคิดที่ดีที่เฟดจะใช้เวลาต่อไปอีกระยะหนึ่งในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงไม่แน่นอน และผมขอพูดจากใจจริงว่า ผมยังไม่มีการคาดการณ์ที่แน่นอนและผมคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการอดทนรอคอย”

การแสดงความเห็นล่าสุดของเจ้าหน้าที่เฟดเหล่านี้ สอดคล้องกับที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดให้สัมภาษณ์ในรายการ “60 Minutes” ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (4 ก.พ.) ว่า “เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในขณะนี้ทำให้เฟดต้องใช้ความระมัดระวังในการพิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และเฟดต้องการเห็นหลักฐานเพิ่มเติมว่าเงินเฟ้อสหรัฐจะปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย”

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.พ. 67)

Tags: , ,
Back to Top