สรท.เฝ้าระวังส่งออกปี 67 หลายปัจจัยคาดเดายาก ห่วงวิกฤตทะเลแดงฉุดวูบ

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก ยอมรับสถานการณ์ความรุนแรงในทะเลแดงเป็นปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุม ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อการส่งออกของไทยในปีนี้ แต่มั่นใจยอดส่งออกในเดือน ม.ค.67 ยังรักษาระดับไว้ที่ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ เท่ากับเดือน ม.ค.66 ส่วนเดือน ก.พ.67 จะอยู่ที่ 2.1-2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงกับเดือน ก.พ.66 เช่นกัน แต่ในเดือน มี.ค.67 ยังประเมินยาก เนื่องจากปีก่อนฐานสูงถึง 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ จากมีการส่งออกผลไม้ โดยเฉพาะการส่งทุเรียนไปจีนในปริมาณมาก แต่ปีนี้เกิดปัญหาภัยแล้งอาจทำให้ผลไม้ออกล่าช้าไป ขณะที่ สรท.วางเป้าหมายผลักดันการส่งออกของไทยในปี 67 ให้เติบโต 1-2%

“เหตุรุนแรงในทะเลแดงส่งผลกระทบชัดเจน ปริมาณเรือสินค้าลดลงจากวันละ 100-120 ลำ เหลือราว 50 ลำ หากยืดเยื้อและขยายวงออกไปจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนผู้ส่งออก เพราะขณะนี้ค่าระวางเรือปรับเพิ่มขึ้นไป 4-5 เท่า แต่คงไม่สูงเท่าช่วงเกิดวิกฤตโควิด” นายชัยชาญ เจริญสุข ประธาน สรท.กล่าว

โดยสถานการณ์ค่าระวางเรือขณะนี้ยังทรงตัวในระดับสูง เพราะนอกจากผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์แล้ว ยังมีปัจจัยจากการเร่งส่งออกก่อนเทศกาลตรุษจีน และความต้องการสินค้าในช่วงเทศกาลรอมฎอน ทำให้ค่าระวางเรือไปบางภูมิภาคปรับสูงขึ้นตามความต้องการ ซึ่งต้องรอดูว่าหลังผ่านเทศกาลสำคัญไปก่อนสถานการณ์จะคลี่คลายลงหรือไม่

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ทำให้เห็นว่าควรเร่งหาตลาดใหม่เพื่อทดแทน โดยหันกลับมามองภูมิภาคที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ อินเดีย และ CHINA+ เพื่อทดแทนประเทศคู่ค้าเดิมที่มีปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอย และความร่วมมือที่เหนียวแน่นระหว่างภาครัฐและเอกชนจะพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้นเหมือนปีที่ผ่านมาได้

สำหรับปัจจัยเฝ้าระวังที่อาจส่งผลกระทบในปีนี้ ได้แก่

1) การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ปรับตัวอ่อนค่าเล็กน้อย โดยค่าเงินบาทเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ 34-35 บาท และยังคงมีความไม่แน่นอนสูง

2) อัตราดอกเบี้ยนโยบายหลายประเทศยังคงทรงตัวระดับสูง ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงดอกเบี้ยนโยบายต่อคาดว่าจะมีการปรับในช่วงเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังคงทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์ทะเลแดงอาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันซึ่งจะส่งผลให้สินค้าอุปโภคและบริโภคปรับสูงขึ้นนำไปสู่เงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น

3) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะสถานการณ์วิกฤตในทะเลแดง (Red sea) บริเวณช่องแคบบับ อัล-มันเดบ (Bab el-Mandeb Strait) ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าหลักไปทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกาและตะวันออกกลาง ส่งผลให้ค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้นและใช้ระยะเวลาการขนส่งสินค้านานขึ้น รวมถึงความขัดแย้งอื่น ๆ อาทิ รัสเซีย ยูเครน ทะเลจีนใต้ ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง

4) ดัชนีภาคการผลิต (PMI) สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ณ ระดับ 50.3, 46.6, และ 48 ตามลำดับ มีแนวโน้มภาคการผลิตดีขึ้น แต่ต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด หลายประเทศยังขยายตัวต่ำกว่าระดับ Base Line โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยุโรปยังคงต่ำกว่าระดับ Base Line ต่อเนื่องกว่า 8 เดือน

5) ความกังวลเรื่องต้นทุนภาคการผลิตที่ยังมีความไม่แน่นอน อาทิ ค่าไฟฟ้า ค่าแรงขั้นต่ำ และค่าระวางเรือเส้นทางยุโรป ตะวันออกกลาง สหรัฐฯ เริ่มปรับตัวสูงขึ้น เป็นต้น

ขณะที่ สรท.มีข้อเสนอแนะสำคัญต่อภาครัฐ ประกอบด้วย

1) พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบัน รวมถึงกำกับดูแลเพื่อลดช่องว่าง (Spread) อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเงินกู้และเงินฝาก

2) เร่งสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและกระบวนการผลิตเพื่อรองรับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่จะมีความเข้มข้นมากขึ้นในปีนี้

3) เร่งรัดการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในตลาดเป้าหมายที่สำคัญ รวมถึงเร่งการเจรจาการค้าเสรี (FTA) อาทิ ไทย-EFTA และไทย-GCC เพื่อสร้างแต้มต่อและลดอุปสรรคในการเข้าถึงตลาดและแหล่งวัตถุดิบให้ผู้ประกอบการไทย

4) สถานการณ์ปัญหาการโจมตีเรือพาณิชย์ในพื้นที่ทะเลแดง ผู้ประกอบการส่งออกร้องขอให้มีการเรียกเก็บค่าระวางและค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริง ทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได แจ้งให้ทราบล่วงหน้า และขอให้สายเรือเจรจากับท่าเรือเพื่อขอขยายระยะเวลา Free Time ในท่าเรือ เป็น 21 วัน (จากปกติ 3-7วัน) เพื่อลดต้นทุนส่วนที่เกินเวลาที่กำหนดและขยายระยะเวลาการใช้ตู้คอนเทนเนอร์เพื่อลดต้นทุน Demurrage/ Detention ให้กับผู้ส่งสินค้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ก.พ. 67)

Tags: , , , ,
Back to Top