บมจ.มั่นคงเคหะการ (MK) กางแผนปรับโครงสร้างธุรกิจขยายพอร์ตธุรกิจคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าเป็นเรือธงหลัก โดยเตรียมขออนุมัติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 1 มี.ค.นี้ ขายบริษัท อาร์เอ็กซ์ เวลเนส จำกัด (RXW) ธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพแก่ บมจ. เอฟเอ็นเอส โฮลดิ้งส์ (FNS) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และให้สิทธิการเช่าที่ดิน 10 ปี พร้อมซื้อหุ้นสามัญของบริษัท บีเอฟทีแซด วังน้อย จำกัด (BFTZWN) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเพื่อเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 100% และซื้อหน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาฯ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล (PROSPECT REIT) เพิ่มเป็น 30.80%
นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MK เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินธุรกิจ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ (1) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายภายใต้แบรนด์บ้าน “ชวนชื่น” (2) ธุรกิจอาคารคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าผ่านบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด โดยถือหุ้นใน BFTZWN ในสัดส่วน 50% และลงทุนในทรัสต์ PROSPECT REIT สัดส่วน 8.61%
และ (3) ธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพและให้บริการด้านที่พักภายใต้บริษัท อาร์เอ็กซ์ เวลเนส จำกัด (RXW) มีสถานที่การให้บริการด้านสุขภาพ 2 แห่ง ได้แก่ โครงการรักษ เวลเนส บางกระเจ้า ภายใต้แบรนด์ “Rakxa” รวมเนื้อที่ประมาณ 108 ไร่ และโครงการอาร์เอ็กซ์วี เวลเนส วิลเลจ ภายใต้แบรนด์ “RXV” เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่
ล่าสุด คณะกรรมการของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.66 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ในวันที่ 1 มี.ค.67 ขออนุมัติปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยจะขายหุ้น RXW ในจำนวน 13,799,998 หุ้น คิดเป็น 100% ให้ FNS มูลค่าประมาณ 276 ล้านบาท และขายธุรกิจบริการด้านสุขภาพ 84 ล้านบาท รวม 360 ล้านบาท พร้อมให้สิทธิการเช่าที่ดินและอาคารของธุรกิจบริการด้านสุขภาพ 10 ปี มูลค่าค่าเช่า 1,770 ล้านบาท นอกจากนี้ FNS จะต้องให้กู้ยืมเงินแก่ RXW เพื่อนำมาคืนเงินกู้และดอกเบี้ยแก่บริษัทฯ
ขณะเดียวกัน MK จะเข้าซื้อหุ้นและหน่วยทรัสต์จาก FNS ประกอบด้วย 1) หุ้น BFTZWN จำนวน 24,999 หุ้น ราคาหุ้นละ 2,000.08 บาท รวมมูลค่าน 50 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถือหุ้น 50% และ 2) หน่วยทรัสต์ PROSPECT REIT จำนวน 83,212,061 หน่วย ราคาหน่วยละ 9.3885 บาท รวมมูลค่า 781 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22.19%
ภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะส่งผลให้ MK ถือหุ้น BFTZWN ผ่านบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด จากเดิม 50% เพิ่มเป็น 100% และมีอำนาจตัดสินใจและสิทธิในการบริหารอย่างเบ็ดเสร็จ รวมถึงเพิ่มการถือหน่วยทรัสต์ PROSPECT REIT จาก 8.61% เป็น 30.80% และเพิ่มอำนาจในการตัดสินใจทำให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากสัดส่วนการถือหน่วยทรัสต์ที่เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องด้านเงินลงทุนให้กับบริษัทฯ เนื่องจากหน่วยทรัสต์ PROSPECT REIT มีสภาพคล่องในการซื้อขายที่ดี
นายวรสิทธิ์ กล่าวต่อว่า การปรับโครงสร้างธุรกิจสอดคล้องกับแผนงานในอนาคตที่มุ่งเน้นให้มีการเติบโตจากธุรกิจอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงานให้เช่าที่มีความเชี่ยวชาญเป็นธุรกิจหลัก เพราะ BFTZWN และ PROSPECT REIT เป็นบริษัทและกองทรัสต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาคารคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า ที่มีอัตราการเติบโตที่ดี และจะส่งผลต่อการเติบโตของผลการดำเนินงานที่มั่นคงในอนาคต
ขณะที่ธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพอยู่ในช่วงเริ่มเปิดดำเนินการได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา การขายหุ้นจะทำให้บริษัทฯ ลดภาระการจัดหาเงินทุนเพื่อการดำเนินงานและขยายการลงทุน อย่างไรก็ดี เพื่อทำให้ฐานธุรกิจและรายได้ของบริษัทฯ มีความมั่นคงและเติบโตในระยะยาว การปรับโครงสร้างธุรกิจในครั้งนี้เปิดโอกาสให้บริษัทขยายธุรกิจอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงานให้เช่าอย่างต่อเนื่อง และอาจกระทบกับภาระหนี้เพิ่มเติมซึ่งบริษัทฯ จะจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้เพื่อแก้ไขข้อกำหนดสิทธิ ในส่วนของอัตราส่วนทางการเงินที่ต้องดำรงไว้ (Debt/Equity Ratio)
“ธุรกิจคลังสินค้าและโรงงานให้เช่ามีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามทิศทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่กำลังทยอยฟื้นตัวหนุนการเติบโตของภาคการค้าระหว่างประเทศ ทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นความต้องการบริโภคสินค้า ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของภาคการผลิต ขณะที่การลงทุนในประเทศยังได้แรงหนุนจากการพัฒนาโครงการในนิคมอุตสาหกรรมโดยเฉพาะแนวระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานในภาคการผลิตสำคัญของไทย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และสิ่งทอ
รวมถึงความต้องการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก อาทิ การขยายฐานการผลิตรถยนต์ EV ของประเทศจีนมาไทย และการขยายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีมายังประเทศไทย เป็นต้น ล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจคลังสินค้าให้เช่าและอาคารโรงงานให้เช่าเพื่อรองรับอุปสงค์ที่มีทิศทางเติบโตต่อเนื่องในระยะข้างหน้า โดยธุรกิจคลังสินค้าและอาคารโรงงานให้เช่าเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ทางบริษัทฯ มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันสูง ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทต่างชาติใช้ไทยเป็นฐานการผลิตจนเป็นที่ยอมรับและมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง นายวรสิทธิ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ม.ค. 67)
Tags: MK, มั่นคงเคหะการ, หุ้นไทย