พบโควิดสายพันธุ์ JN.1* ในไทย 40 ราย จ่อเป็นสายพันธุ์ระบาดหลักแทน XBB

นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปี 66 สายพันธุ์ลูกผสม XBB.1.16* เป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศไทย จนกระทั่งเดือนก.ย. เริ่มมีแนวโน้มลดลง และพบสายพันธุ์ XBB.1.9.2* มาแทนที่ ล่าสุด ผลการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด-19 ทางห้องปฏิบัติการ ช่วงเดือนพ.ย. 66-15 ม.ค. 67 พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ลูกผสม XBB.1.9.2* ลดลง ในขณะที่สัดส่วนของ JN.1* เพิ่มมากขึ้น

สายพันธุ์ JN.1* เริ่มพบในประเทศไทยตั้งแต่เดือนต.ค. 66 และพบเพิ่มมากขึ้นในเดือนธ.ค. 66 ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นสายพันธุ์ระบาดหลัก แทนที่ XBB.1.9.2*

จากข้อมูลปัจจุบัน พบผู้ติดเชื้อ JN.1* ในพื้นที่เขตสุขภาพ 2, 4, 5, 6, 7, 11, 12, และ 13 ซึ่งมีอาการระบบทางเดินหายใจทั่วไป เช่น ไข้ ไอ เสมหะ เป็นต้น และยังไม่พบรายงานผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อสายพันธุ์ JN.1* ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อ JN.1* ในประเทศไทย จำนวน 40 ราย ซึ่งยังไม่มีชนิดกลายพันธุ์ 2 ตำแหน่ง

นพ.ยงยศ กล่าวว่า กรมฯ และเครือข่ายห้องปฏิบัติการ ได้ติดตามสถานการณ์สายพันธุ์เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในประเทศไทย ตั้งแต่ต้นปี 65 พบสายพันธุ์โอมิครอน BA.1, BA.2, BA.4, BA.5 และสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ ในตระกูล ปัจจุบันสายพันธุ์ Omicron เป็นสายพันธุ์หลัก ที่แพร่กระจายในประเทศ

ล่าสุด องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังคงให้ความสำคัญกับการติดตาม Omicron จำนวน 10 สายพันธุ์ จากพื้นฐานของข้อมูลการเพิ่มความชุกหรือความได้เปรียบด้านอัตราการเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ และการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการได้เปรียบในการก่อโรค ได้แก่

  • สายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง หรือ Variants of Interest (VOI) 5 สายพันธุ์ ได้แก่ XBB.1.5* XBB.1.16* EG.5*, BA.2.86* และ JN.1*
  • สายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง หรือ Variants under monitoring (VUM) 5 สายพันธุ์ ได้แก่ DV.7*, XBB*, XBB.1.9.1*, XBB.1.9.2* และ XBB.2.3*

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 66 WHO จัดสายพันธุ์ JN.1* เป็น VOI สายพันธุ์ JN.1* เป็นสายพันธุ์ย่อยของ BA.2.86* ที่มีการกลายพันธุ์บนส่วนหนามที่ต่างจาก BA.2.86 คือ L455S (กรดอะมิโนที่ตำแหน่ง 455 เปลี่ยนจากลิวซีนเป็นซีรีน) เพิ่มความสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันอย่างมีนัยสำคัญ JN.1* มีความได้เปรียบในการเติบโตสูงกว่า XBB.1.9.2* ถึง 73%

โดยในช่วงต้นปี 67 มีรายงานการกลายพันธุ์ของ JN.1* เพิ่มที่ตำแหน่ง F456L (ฟีนิลอะลานีน ถูกแทนที่ด้วยลิวซีนที่ตำแหน่ง 456) รวมกลายพันธุ์สองตำแหน่ง L455S และ F456L เรียกว่า “Slip mutation” ซึ่งมีรายงานผู้ติดเชื้อ JN.1* ชนิดกลายพันธุ์สองตำแหน่งรายแรกในฝรั่งเศส ขณะนี้พบทั่วโลกจำนวน 41 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ม.ค. 67)

นพ.ยงยศ กล่าวว่า สถานการณ์ภาพรวมทั่วโลกของสายพันธุ์ในกลุ่ม VOI จากฐานข้อมูลกลาง GISAID รอบสัปดาห์ที่ 48 (27 ต.ค. – 3 ธ.ค. 66) พบ EG.5* มากที่สุด ในสัดส่วน 36.3% ถัดมาคือ JN.1* พบสัดส่วน 27.1% โดย EG.5* มีอัตราการพบที่ค่อยๆ ลดลง ในขณะที่ JN.1* ซึ่งมีความได้เปรียบในการเติบโต และคุณลักษณะหลบภูมิคุ้มกัน มีอัตราการพบที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบ 28 วัน

สายพันธุ์ในกลุ่ม VUM ที่พบมากที่สุด ได้แก่ XBB.1.9.1* ในสัดส่วน 3.3% และ DV.7* สายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์บนส่วนหนามแบบ Flip mutation คือ กลายพันธุ์สองตำแหน่งที่อยู่ติดกัน ได้แก่ L455F และ F456L ช่วยส่งเสริมการจับตัวบนผิวเซลล์มนุษย์ และหลบภูมิคุ้มกันได้ดี อย่างไรก็ตาม DV.7* มีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันยังไม่พบมีรายงานการเพิ่มความรุนแรงของโรค

“กรมฯ และเครือข่ายห้องปฏิบัติการ เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง โดยรวบรวมตัวอย่างผลบวกเชื้อก่อโรคโควิด-19 จากการทดสอบ ATK หรือ Real-time RT-PCR จากทั่วประเทศ ถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม และเผยแพร่ผ่านฐานข้อมูลสากล GISAID อย่างสม่ำเสมอ การเฝ้าระวังติดตามสายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศอย่างเป็นปัจจุบัน ช่วยส่งเสริมความพร้อมทางห้องปฏิบัติการในการรับมือกับการระบาดในอนาคต”

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุ

ทั้งนี้ การป้องกันตนเองตามมาตรการสาธารณสุข ยังใช้ได้กับทุกสายพันธุ์ สำหรับอาการและความรุนแรง มักขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพโดยรวมของบุคคล มากกว่าชนิดสายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ม.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top