อภิมหาเศรษฐีโลก 5 รายมั่งคั่งขึ้นเท่าตัว จ่อรวยระดับล้านล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี

อ็อกซ์แฟม (Oxfam) ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลของอังกฤษรายงานว่า บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของโลก 5 รายมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวนับตั้งแต่ปี 2563 ขณะเดียวกันอ็อกซ์แฟมได้เรียกร้องให้มีการควบคุมอำนาจขององค์กรธุรกิจ

ทั้งนี้ อ็อกซ์แฟมใช้ข้อมูลจากฟอร์บส (Forbes) และเวลธ์ เอ็กซ์ (Wealth X) ระบุว่า บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของโลก 5 ราย ได้แก่ นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเทสลา, นายเบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ เจ้าของบริษัทแอลวีเอ็มเอช (LVMH) และครอบครัว, นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งบริษัทอะเมซอน, นายแลร์รี เอลลิสัน ผู้ก่อตั้งบริษัทออราเคิล (Oracle) และนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนมากประสบการณ์และเจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ มีทรัพย์สินรวมกันเพิ่มขึ้นจาก 4.05 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมี.ค. 2563 สู่ระดับ 8.69 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนพ.ย. 2566

อ็อกซ์แฟมเปิดเผยรายงานฉบับดังกล่าวในวันจันทร์ (15 ม.ค.) ซึ่งตรงกับการเปิดประชุมเศรษฐกิจ World Economic Forum ประจำปีนี้ที่เมืองดาวอสของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยเหล่าผู้นำทางธุรกิจและการเมืองทั่วโลกจะมารวมตัวกันที่การประชุมดังกล่าว แม้บุคคลร่ำรวยที่สุดของโลกทั้ง 5 รายดังกล่าวจะไม่เข้าร่วมประชุมก็ตาม

รายงานระบุว่า บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของโลก 7 จาก 10 แห่งมีมหาเศรษฐีดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะที่บุคคลที่รวยที่สุดในโลก 1% เป็นเจ้าของสินทรัพย์ทางการเงินทั่วโลกถึง 43% เช่น เครื่องมือทางการเงินที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อาทิ หุ้นและตราสารหนี้ รวมถึงหุ้นในธุรกิจนอกตลาดหลักทรัพย์

“หากสถานการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นนี้ โลกจะมีมหาเศรษฐีระดับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกภายในเวลาหนึ่งทศวรรษ แต่จะไม่สามารถขจัดความยากจนไปอีก 229 ปี” อ็อกซ์แฟมระบุ

ขณะเดียวกัน อ็อกซ์แฟมเน้นย้ำว่า กำไรสุทธิในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของโลก 148 แห่งพุ่งขึ้น 52% ในรอบหนึ่งปีถึงเดือนมิ.ย. 2566 เทียบกับกำไรเฉลี่ยของบริษัทเหล่านี้ระหว่างปี 2561-2563

“ภาวะยากจนสุดขั้วในกลุ่มประเทศยากจนที่สุดยังคงสูงกว่าก่อนช่วงเกิดโรคโควิด-19 ระบาด แต่คนร่ำรวยสุดขีดกลุ่มเล็ก ๆ กำลังจะกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า” นางอะลีมา ชีฟจี รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอ็อกซ์แฟมระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ม.ค. 67)

Tags: ,
Back to Top