WealthMePlease: หุ้นไทยปีมังกร “ผงาด” หรือ “ผวา” ?!

ปี 66 ตลาดหุ้นไทยติดลบไปราว 16% เรียกได้ว่าสาหัส! SET ปิดสิ้นปี 1,415.85 จุด จากสิ้นปี 65 ที่ 1,688.66 จุด โดยจุดต่ำสุดที่ 1,357.97 จุด เม็ดเงินต่างชาติไหลออกราว 2 แสนล้านบาท จากปี 65 ที่ไหลเข้ามา 2 แสนล้านบาท

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ระบุว่า ในปี 66 ตลาดหุ้นไทย Underform ตลาดอื่น จากความคาดหวังสูงว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นแรง และคาดหวังนักท่องเที่ยวจีนกลับมาคึกคัก รวมทั้งในแง่การค้าขายคาดหวีงเศรษฐกิจจีนจะฟื้นกลับมาแข็งแกร่ง แต่ที่เห็นก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวมากอย่างคาด ส่งผลกระทบอย่างมากต่อไทยที่มีจีนเป็นคู่ค้าสำคัญ นักวิเคราะห์จึงปรับประมาณการลง เพราะให้ความคาดหวังกับจีนมากเกินไป

การเลือกตั้ง ในบ้านเราสถิติย้อนหลังการเลือกตั้งทำให้ตลาดหุ้นคึกคัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะกว่าจะจัดตั้งรัฐบาลใช้เวลานานถึง 4-5 เดือน และใช้เวลานานกว่าจะขับเคลื่อนนโยบาย เมื่อคาดหวังไว้สูงพอไม่ได้อย่างหวัง ก็ทำให้โมเมมตัมเสียไป เห็นได้เศรษฐกิจไทยเติบโตลดลง ล่าสุดไตรมาส 3/66 GDP โตเพียง 1% กว่าเท่านั้น ทั้ง ๆ ไทยไม่เคยมีอัตราเติบโตต่ำเช่นนี้มาก่อนในภาวะปกติ ส่งผลให้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไม่ดีไปด้วย

นอกจากนั้น ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ก็เป็นอีกประเด็นที่บั่นทอนให้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ดีกว่าอย่างที่คาดหวัง ในปี 66 เกิดวิกฤตหุ้น MORE ตั้งแต่ต้นปี พอมากลางๆ ปีเจอกับปัญหาหุ้น STARK โผล่ขึ้นมาแบบช็อกวงการ เพราะไม่คิดว่าจะมีการตกแต่งบัญชีได้มโหฬารขนาดนี้

ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดบ้านเรา Underperform ผลตอบแทนตกมาอยู่เป็นอันดับที่ 68 จากทั้งหมด 69 แห่ง มีเพียง 14 ตลาดหุ้นที่ผลตอบแทนติดลบ ซึ่งตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในนั้น โดยตลาดหุ้นโลกปรับขึ้นเฉลี่ย +18% มีตลาดหุ้น 25 แห่งที่ผลตอบแทนสูงขึ้นเกิน 25% หุ้นสหรัฐขึ้นมากกว่า 20% โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ขณะที่หุ้นไทยติดลบไปถึง 20%

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สร้างกดดันเพิ่มเข้ามา ได้แก่ การปรับขึ้นดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ สหรัฐ และสงครามอิสราเอลและกลุ่มปาเลสไตน์ ส่วนสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ยังคงอยู่ ภาวะเศรษฐกิจโลกมีภาวะซึมตัว

แต่ปรากฎว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก ไม่ได้กังวลขนาดนั้น เขามั่นใจว่าเศรษฐกิจชะลอชั่วคราว เงินเฟ้อที่สูงขึ้นไม่ได้เป็นเหมืนนในอดีต และเชื่อว่าจะปรับลดลงได้ ซึ่งสุดท้ายก็ปรับตัวลง และวันนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แนวคิดเริ่มเปลี่ยน คาดว่าจะได้เห็นการปรับลดดอกเบี้ยในปี 67

“ปี 66 เป็นปีคาดหวังของนักลงทุน การซื้อหุ้นคือการซื้ออนาคต ต่างประเทศเขาบอกว่าน่าจะดี ซึ่งเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้นโลก”

 

เปิด 3 เงื่อนไขชี้ทิศทางตลาดหุ้นปี 67

 

ตลาดหุ้นไทยปี 67 จะมีทิศทางอย่างไรขึ้นกับ 3 เงื่อนไขสำคัญ

1.รัฐบาลต้องผลักดันให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโต 3-4% ให้ได้ในปี 67 และต้องเติบโตต่อเนื่องในปี 68-69 หรือตลอดอายุรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งปีนี้เชื่อว่าจะเติบโตได้มากกว่า 3% จากตัวช่วย คือ เฟดลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลกดีขึ้น และจีนเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดหวังว่าส่งออกไทยจะพลิกฟื่นกลับมาเป็นบวก ขณะที่ท่องเที่ยวก็ยังดีอยู่คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยว 35 ล้านคน ส่วนในประเทศ รัฐพยายามลดค่าครองชีพ ลดหนี้ในระบบ และปัญหาต่อไปเราต้องแก้ที่โครงสร้างเศรษฐกิจ

“ทุกคนคาดหวังว่าศักยภาพไทยอยู่ราวๆ นี้ ปีนี้อาจจะโต 3% กว่า และในปีสุดท้ายของอายุรัฐบาลน่าจะเติบโต 4% กว่า จุดอ่อนไทย คือ การลงทุนภาคเอกชนน้อย การแก้ปัญหาโครงสร้าง แก้หนี้ครัวเรือน”นายไพบูลย์ ให้ความเห็น

2.การรักษาวินัยการคลัง แม้ว่าจะอยากเห็นการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่ต้องการให้มีการทำลายเสถียรภาพ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ยังจำเป็นต้องใช้ เพราะทุกวันนี้เศรษฐกิจเติบโตในระดับต่ำ เพียงแต่ต้องทำให้ถูกจุด อาจต้องทบทวนบางมาตรการ เช่นการแจกเงิน หรือเงินดิจิทัลวอลเล็ต ว่าดีจริงหรือไม่ แก้โจทย์ได้จริงไหม เพราะเป็นโครงการที่ใช้เงินมหาศาล ถ้าปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ก็น่าจะดี

“ผมคิดว่าตลาดทุนก็จับตาดูอยู่ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไหน ตอบโจทย์ประเทศมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่อยากเห็นคือการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องนำไปสู่ความยั่งยืนด้วย”

3.การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ซื้อขายในตลาดทุนควรยึดมาตรฐานสากลเป็นหลัก เพื่อไม่ให้ความมั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศ หรือกองทุนขนาดใหญ่ของต่างชาติสูญเสียไป เพราะตลาดทุนมีไว้เพื่อการระดมทุน ซึ่งหากพึ่งพาแต่นักลงทุนในประเทศคงไม่เพียงพอ จำเป็นจะต้องมีเม็ดเงินจากต่างประเทศด้วย

การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ตลาดทุนต่าง ๆ ที่ถูกพูดถึงกันก่อนหน้านี้ ทั้งการทบทวนโปรแกรมเทรดดิ้ง, Short Sell ควรศึกษาให้จริงจังว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ตรงไหน และการแก้ไขปรับปรุงต้องไม่ทำให้มาตรฐานสากลเสียไป ซึ่งปัจจุบันกติกาหรือกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์อยู่ในระดับมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้ว

ส่วนปัจจัยต่างประเทศในปี 67 มองว่าไม่ค่อยน่าห่วง มีเพียงปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยและเศรษฐกิจโลก เพราะวันนี้ทุกคนรู้แล้วว่าเฟดยุติการขึ้นดอกเบี้ย แต่กำลังดูว่าเฟดจะปรับลงเมื่อไหร่ เพราะสหรัฐอยู่บนทางสองแพร่ง วันนี้เงินเฟ้อก็ยังไม่เข้ากรอบเป้าหมาย 2% แต่จะรอให้ถึงเป้าหมายก็อาจทำให้เศรษฐกิจเสียหาย หรือกำลังซื้อลดลง

อย่างไรก็ดี หลายคนคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยแบบ Soft Landing เพราะตัวเลขคนว่างงานไม่สูง และที่ผ่านมาก็ทำสถิติต่ำสุดอีกด้วย ขณะที่เงินเฟ้อที่สูงขึ้นมาจากฝั่งซัพพลายน้อยลงจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ปัจจุบันกลับมาปกติแล้ว คงต้องติดตามจะเป็นแบบ Hard Landing หรือไม่ ถ้าเป็นจริงเงินจะไหลออกจากสหรัฐก็เป็นโอกาสตลาดหุ้นไทยที่เคยแย่สุดในปี 66 จะกลายเป็นเป้าหมายการลงทุนในปีนี้

“ดัชนีหุ้นไทยวันนี้หากดูมูลค่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้เป้าหมายราว 1,600 จุด แต่ SET จะไต่ขึ้นไปถึงมูลค่านั้นได้หรือไม่ก็ชึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ความมั่นใจต้องกลับมา ความเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นไทยไปต่อได้ รัฐบาลต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ามีนโยบายเศรษฐกิจที่ดีและสร้างความเชื่อมั่นได้ต่อเนื่อง

ผมคิดว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับมา Perform ได้ดีในปี 67 พื้นฐานของเราพร้อมแต่ก็ยังอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง ปีที่แล้วเหมือนรับรู้ข่าวร้ายไปหมดแล้ว ข่าวดีมาเท่าไหร่กระตุ้นไม่ขึ้นเลย ทำให้ดัชนีอยู่ที่ 1,300-1,400 จุดไม่ไปไหน สถิติย้อนหลัง 25 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีครั้งไหน ปีไหนที่ตลาดหุ้นไทยติดลบ 2 ปีซ้อน 2 ปีติดต่อกัน ถ้าปีที่ผ่านมาเป็นลบ ปีต่อไปก็เป็นบวก”นายไพบูลย์ กล่าวทิ้งท้าย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ม.ค. 67)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top