นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานกรรมการ บมจ.ณุศาศิริ (NUSA) ในฐานะเจ้าของเดิมที่ยังคงถือหุ้น 27% ออกโรงตั้งโต๊ะเปิดต้นเหตุความขัดแย้งกับกลุ่มนายประเดช กิตติอิสรานนท์ ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ที่เข้ามาถือหุ้นใหญ่ 52% คือ หุ้น บริษัท วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง (WEH) ซึ่งเป็น 1 ใน 6 รายการสินทรัพย์ที่ NUSA ต้องการขายออกไป รวมมูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านบาท
นายวิษณุ กล่าวว่า NUSA ถือหุ้น WEH จำนวน 7.74 ล้านหุ้น คิดเป็น 7.12% ของทุนจดทะเบียน มูลค่าทางบัญชี ณ วันที่ 30 ก.ย. 66 อยู่ที่ราว 3.37 พันล้านบาท การที่บริษัทตัดสินใจจะขายออกไปทำให้นายประเดช ไม่พอใจ และให้ข้อมูลบิดเบือน รวมทั้งฟ้องร้องกลุ่มของตนเอง ทำให้เสียชื่อเสียง และสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ NUSA
พร้อมยืนยันว่าการอนุมัติให้เสนอขายสินทรัพย์ทั้ง 6 รายการ ได้ดำเนินการพิจารณาและขออนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทอย่างถูกต้อง และเป็นการขออนุมัติในหลักการเพื่อเป็นการรองรับการเตรียมความพร้อมหาสภาพคล่อง และหาเงินรองรับการชำระคืนหนี้ที่จะครบกำหนดในปี 67 เกือบ 3 พันล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นกู้ 750 ล้านบาท และค่าก่อสร้างโครงการเลเจนด์สยามกว่า 2 พันล้านบาท
การขายสินทรัพย์ทั้ง 6 รายการ ไม่ได้เป็นการขายในคราวเดียว แต่เป็นการทยอยขายเพื่อให้บริษัทมีเงินพอจ่ายคืนหนี้ที่ครบกำหนดเท่านั้น หากเพียงพอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องขายทั้งหมด เพียงแค่เสนอคณะกรรมการมารับทราบว่ามีสินทรัพย์ที่มองว่ามีสภาพคล่องและมีหนี้สินน้อยที่สามารถเลือกมาขายได้อย่างรวดเร็วทันกำหนดชำระหนี้เป็นจำนวนเท่าใด และการขายสินทรัพย์นั้นจะต้องได้ราคาสูงกว่าราคาตลาด หรือมูลค่าทางบัญชีเท่านั้น หากจะขายต่ำนั้นก็ต้องนำเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาใหม่อีกครั้ง
“ฝั่งเขาโหวตค้านไม่ให้ขาย แต่เสียงบอร์ดส่วนใหญ่อนุมัติให้ขาย เราทำธุรกิจการขอมติบอร์ดเป็นเรื่องปกติ ถ้าเราไม่ขายจะเอาเงินจากไหนมาจ่ายหนี้ เขาก็รับรู้ทุกอย่าง และอยู่ในที่ประชุม ซึ่อพอมาถึงตอนนี้ก็เหมือนกับเขาพูดแล้วตรงกันข้าม จากตอนแรกที่เราเปิดรับเขาเข้ามาเพื่อร่วมกันสร้างการเติบโตให้กับ NUSA แต่เหมือนกับเขาต้องการเข้ามาควบคุมการทำงานทุกอย่าง และเขาน่าจะ Worry หุ้นวินด์ฯ ที่เป็นหนึ่งใน 6 รายการที่อนุมัติขายออกไป เขาคิดว่าผมมีเจตนาขายหุ้นวินด์ฯ ออกไป และบิดเบือนข้อมูลมาโจมตีเราให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และเราต้องออกมาเพื่อปกป้องชื่อเสียงตัวเองและแบรนด์ดิ้งของบริษัท” นายวิษณุ กล่าว
ประธานกรรมการ NUSA กล่าวว่า ตั้งแต่กลุ่มนายประเดช เข้ามาร่วมบริหารใน NUSA กลุ่มของตนเองที่เป็นผู้ถือหุ้นเดิมได้ดำเนินการตามความเห็นของนายประเดชทุกอย่าง โดยเฉพาะการเข้าไปถือหุ้นใน บมจ.เด็มโก้ (DEMCO) ราว 24% และทำให้ NUSA ขาดทุนราว 500 ล้านบาท เนื่องจากตอนเข้าไปมีมูลค่า 800 ล้านบาท แต่ตอนนี้ลดลงเหลือแค่ไม่ถึง 400 ล้านบาท
และเมื่อเกิดกรณีข้อพิพาทและการฟ้องร้องขึ้นในตอนนี้ ก็ยิ่งส่งผลกระมบต่อกระบวนการขายสินทรัพย์ออกไป โดยเฉพาะความรู้สึกของผู้ที่สนใจจะเข้ามาเจรจาซื้อ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ
“เราพร้อมพูดคุยกับเขา แต่เขาไม่คุยกับเรา และไปบิดเบือนขิอเท็จจริงโจมตีเรา ในส่วนนี้อะไรที่ไม่เป็นความจริง เราก็พร้อมไปชี้แจงข้อมูลกับศาล เพราะเรามีหลักฐานบันทึกไว้ถูกต้อง และจะมีการฟ้องกลับให้ถึงที่สุด ส่วนการทำงานของ NUSA ก็ยังคงดำเนินการตามปกติ” นายวิษณุ กล่าว
แผนงานของ NUSA ในปี 67 จะมีการลงทุนเพิ่มเติมอย่างน้อย 2 โครงการ ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร มูลค่าโครงการละ 3 พันล้านบาท เบื้องต้นจะเปิดเผยแผนการลงทุนร่วมกับพันธมิตรรายแรกเพื่อพัฒนาพื้นที่ภายในโครงการ มาย โอโซน เขาใหญ่ ในรูปแบบรูปแบบโรงแรมและที่อยู่อาศัย ภายในเดือนม.ค. 67 ส่วนอีก 1 โครงการอยู่ระหว่างการพิจารณาทำเลศรีราชาและพัทยา ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีที่ดินอยู่แล้ว
ปัจจุบัน NUSA มีผลขาดทุนสะสม 3.4 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนสะสมจากภาระดอกเบี้ยค่าที่ดินที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนา ซึ่งยังคงต้องมีการมองหาแนวทางในการพัฒนาโครงการเพื่อสร้างรายได้เข้ามาให้กับ NUSA รวมถึงการทยอยขายสินทรัพย์ของ NUSA ออกมา เพื่อทำให้ NUSA สามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในปี 67 ซึ่งเป็นความตั้งใจของทีมบริหาร
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ธ.ค. 66)
Tags: DEMCO, NUSA, WEH, ณุศาศิริ, วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง, วิษณุ เทพเจริญ