กอง TESG ลุ้นปิดท้ายปีคึกคัก IAA แกะกลยุทธ์ดันยอดขาย 15 วัน 3 พันลบ.กองทุนผสมฮอตฮิต

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ว่า กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG : TESG) ซึ่งเป็นกองทุนลดหย่อนภาษีที่ บลจ. 16 แห่งเปิดขายไปแล้ว 15 วันยอดรวม ณ วันที่ 22 ธ.ค. 66 ใกล้ถึง 3,000 ล้านบาท และเชื่อว่าช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีวันที่ 23-28 ธ.ค.จะมีผู้ที่ตามเข้ามาสมทบอีกมากเพียงแต่ยังรอดูจังหวะ และอาจยังใช้เวลาเลือกดูว่าจะไปเข้าที่กองไหน กับเลือกของ บลจ.ไหน รวมถึงเทียบค่าบริหารกองทุนและค่าใช้จ่ายในชื่ออื่น ๆ ของแต่ละกองทุนมาเทียบกัน

15 วันแรก บลจ.ที่กวาดยอดไปได้มากที่สุด 5 อันดับ

อันดับ 1 บลจ.กสิกรไทย 582 ล้านบาท ตั้งแค่กองเดียวเน้น ๆ ในแบบ Passive Fund (ลงทุนแบบเกาะไปตามดัชนีอ้างอิง) ชื่อ เค Target Net Zero ชนิดเก็บสะสมกำไรโดยไม่จ่ายปันผล เป็นกองที่จะเกาะไปกับหุ้นดัชนี SET100 TRI ที่มีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลการเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จริง ในหนังสือชี้ชวน แจ้งไว้ว่าเก็บค่อนข้างต่ำกว่าคู่ต่อสู้ โดยเก็บเพียง 0.67% ต่อปี (ไม่รวมกรณีสับเปลี่ยนกองทุนไปบลจ.อื่น)

อันดับ 2 บลจ.ไทยพาณิชย์ ยุทธวิธีแตกต่างจาก บลจ.กสิกรไทย อย่างมาก โดยตั้งกอง Thai ESG ไว้ถึง 6 แบบ แบ่งเป็น 3 แนวทาง คือ แบบกองผสม (หุ้นและตราสารหนี้แบบยืดหยุ่นน้ำหนัก) แบบกอง Active (คือใช้ฝีมือผู้จัดการกองทุนมากและคิดค่าธรรมเนียมสูง) และแบบกอง Passive (ลงทุนแบบเกาะน้ำหนักตามดัชนี และคิดค่าธรรมเนียมต่ำ)

ทั้ง 3 แบบข้างต้น แบ่งกองเป็น 2 ชนิดให้เลือก คือ แบบจ่ายปันผลกับไม่จ่ายปันผล อีกด้วย สรุปแล้วจึงมี 6 กองทุนเมื่อรวมกัน มียอด NAV รวมกันทั้ง 6 กอง 515 ล้านบาทเท่าที่ดูตัวเลขรายกอง พบว่าแบบกองผสมมียอดซื้อมากสุดและกองที่มีนโยบายปันผลมียอดสูงกว่ากองที่ไม่มีนโยบายปันผล

อันดับ 3 บลจ.บัวหลวง ตั้งกองเดียวในแบบกอง Active ชื่อ บัวหลวงทศพลไทยเพื่อความยั่งยืน ตั้งเป้าลงทุนหุ้นที่มี ESG ที่ดี และคัดเลือกว่าจะให้ผลตอบแทนดีที่สุด 10 อันดับแรก เก็บค่าธรรมเนียมในระดับกลาง ๆ ราว 1.6% ต่อปี สอดคล้องกับความเป็นกอง Active ซึ่งสังเกตว่าเก็บต่ำกว่ากอง Active ของหลายค่ายที่เก็บแถว 2%ต่อปี ผลจากยุทธวิธีนี้ บัวหลวง เข้าป้ายได้สูงเป็นอันดับ 3 รวม NAV ล่าสุด 421 ล้านบาท

อันดับ 4 ตกเป็นของ บลจ.กรุงไทย ใช้ยุทธวิธีออกเป็น 3 กอง ใน 3 แนวทางให้เลือก คือ 1.แบบผสมหุ้น ESG เกรด A กับตราสารหนี้ ในสัดส่วน 70/30 ส่วนแนวทาง 2.Active Fund ลงในหุ้น ESG เกรด Aและแนวทาง 3.หุ้น ESG 50 ตัวที่ใหญ่สุดโดยทั้ง 3 กองมีนโยบายจ่ายปันผลเช่นเดียวกัน สามารถกวาดยอด NAV มาได้รวมกัน 277 ล้านบาท โดยกองที่ขายดีสุด คือกองแบบผสมหุ้นกับตราสารหนี้ 70/30

อันดับ 5 เป็นของ บลจ.เกียรตินาคินภัทร ด้วยการเสนอ 2 กองทุนที่ต่างกัน 2 ขั้ว คือ กองพันธบัตรรัฐบาลกับกองหุ้นในแนว Active Fund ซึ่งนับเป็นเครือธนาคารเล็กที่กวาดยอดได้มากที่สุด รวมได้ถึง 231 ล้านบาท โดยกองพันธบัตรขายดีกว่ากองหุ้น

ส่วนอีก 11 บลจ. เช่น กรุงศรี ทิสโก้ ยูโอบี และบลจ.อื่น ๆ นั้นก็มียอดลดหลั่นกันลงไป ตั้งแต่ 100 กว่าล้านบาท ลงไปถึงระดับหลายสิบล้านบาท และน้อยสุดคือ ต่ำกว่า 10 ล้านบาท

เมื่อพิจารณายอดของแต่ละกอง Thai ESG แล้ว มีข้อสังเกตถึงตัวแปรที่มีผลต่อยอดการซื้อของผู้ลงทุนดังนี้

– เครือธนาคารใหญ่ได้ยอดค่อนข้างสูง อาจหมายถึงมีฐานลูกค้ามากกว่า ความสะดวกใน App และจำนวนสาขาบริการ หรือเป็นแบรนด์ที่นึกได้ทันทีที่สนใจซื้อผลจากประเด็นนี้ ทาง บลจ.ที่อยู่เครือธนาคารเล็กหรือไม่อยู่ในเครือธนาคารอาจต้องเร่งประชาสัมพันธ์อีกหน่อย เพราะแต่ละ บลจ.ก็มีความน่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนกัน

– อาจไม่จำเป็นต้องมีแยกจำนวนกองมาก ๆ ก็มียอด NAV มากกว่าได้ แบบอันดับ 1 กสิกรไทย กับอันดับ 3 บัวหลวง สันนิษฐานว่าจำนวนกองที่น้อยทำให้เจ้าหน้าที่และลูกค้าทำความเข้าใจได้ง่ายและเร็วช่วยให้กระบวนการซื้อเกิดขึ้นเร็วด้วย

– ค่าธรรมเนียมต่ำมีผลพอสมควร ตัวอย่างจากอันดับ 1 กสิกร มีระบุค่าธรรมเนียมที่เก็บจริงค่อนข้างต่ำกว่าบลจ.อื่นซึ่งในกรณีกอง Thai ESG มีข้อบังคับให้ต้องถือยาว 8 ปีเต็ม นั่นจึงหมายถึง ผู้ซื้อกองทุนจะมีค่าใช้จ่ายสูงเป็น 8 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อปีที่ประกาศ อัตราที่ต่างกัน 1-1.5% ต่อปีเมื่อถือไป 8 ปี จึงมีค่าใช้จ่ายกันต่างกันรวม 8-12%ดังนั้นหาก บลจ.ใดจะมีแคมเปญเรื่องคิดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ดึงดูดใจ แนะนำให้ประกาศเด่น ๆ ชัด ๆ น่าจะขายดีขึ้น

ในรายที่มีหลายกองนั้นกองที่ผสมตราสารหนี้กับหุ้นขายดีกว่า คาดว่าผู้ลงทุนรู้สึกสบายใจในความเสี่ยงที่ลดลง

ระหว่างกองที่ปันผลกับไม่ปันผล ผู้ซื้อเหมือนจะชอบกองที่จ่ายปันผลมากกว่าทั้งที่การรับเงินปันผลต้องเสียภาษี แต่ถ้าเก็บสะสมเอาไว้จนวันที่เราอยู่ครบ 8 ปีไปขายรับเงินทั้งหมดจะไม่เสียภาษี ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้ลงทุนชอบรับปันผลจากกำไรเป็นรายได้ประจำปีหรือเป็นเพราะไม่ได้รับทราบว่าถ้ารับปันผลจะถูกเก็บภาษี ณ ที่จ่าย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ธ.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top