นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย เปิดเผยว่า สัปดาห์นี้คาด SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1,360-1,400 จุด
ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดบวก 0.8% หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สนับสนุนว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯอาจแตะระดับสูงสุดแล้ว ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 2.45% หลังจากสหรัฐฯรายงานตัวเลขเศรษฐกิจแย่กว่าตลาดคาดการณ์ไว้
วันศุกร์ที่ผ่านมาประธานเฟดออกมาแถลงในเชิงว่ายังเร็วเกินไปที่จะประกาศชัยชนะกับเงินเฟ้อและยังคงเน้นย้ำระดับเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 2% พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่าอาจจะเร็วเกินไปที่จะมั่นใจว่าทางเฟดได้บรรลุจุดยืนเข้มงวดที่เพียงพอแล้ว หรือคาดเดาว่านโยบายจะผ่อนคลายลงเมื่อใดและพร้อมจะใช้นโยบายเข้มงวดหากมีความเหมาะสม
แต่อย่างไรก็ตามแม้จะแสดงความเข้มงวดเล็กน้อยแต่ขณะเดียวกัน ก็ส่งสัญญาณต่อความผ่อนคลายบ้าง อาทิ การดำเนินนโยบายข้างหน้าของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) จะกระทำอย่างระมัดระวังมากขึ้น เงินเฟ้อแม้ปัจจุบันยังเหนือกว่าเป้าหมายของเฟด แต่กำลังเคลื่อนที่ไปในทางที่ถูกต้อง
ในขณะเดียวกันสหรัฐฯ ได้รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคผลิตจากสถาบัน ISM ที่ 46.7 ต่ำกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 47.9 ซึ่งภายหลังจากที่นักลงทุนทราบข้อมูลทั้งหมดพบว่า US Bond Yield ปรับลงต่อเนื่องทั้งอายุ 2 และ 10 ปี พร้อมกับ CME FED Watch ให้น้ำหนักกว่า 98.8% ที่เฟดจะคงดอกเบี้ยนโยบายระดับเดิมในการประชุมกลางเดือน ธ.ค. และยังปรับมุมมองลดดอกเบี้ยมาอยู่ในช่วง มี.ค. 24
สัปดาห์นี้ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ภาคแรงงานในสหรัฐฯโดยวันอังคารจะมีการรายงานตำแหน่งเปิดรับสมัครงาน Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 9.3 ล้านตำแหน่งและในวันเดียวกันจะมีการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 52.5 สำหรับวันพุธจะมีการจ้างงานภาคเอกชนจากสถาบัน ADP Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.2 แสนรายและวันศุกร์ตัวเลขสำคัญกับการจ้างงานนอกภาคเกษตรของของสหรัฐฯและอัตราการว่างงาน Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.85 แสนรายและ 3.9% เชื่อว่าตลาดอยากเห็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ เพื่อให้คลายกังวลกับดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ
ส่วนในประเทศรอติดตามเงินเฟ้อประจำเดือน พ.ย. ในวันพฤหัสบดี Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 0.6%YoY , -0.1%MoM มองเป็นปัจจัยหนุนว่าดอกเบี้ยธนาคารแห่งประเทศไทยเดินทางมาถึงจุดสูงสุดแล้วจากระดับเงินเฟ้อต่ำและเป็นบวกกับกลุ่มการเงิน (MTC SAWAD TIDLOR)
เชิงกลยุทธ์ การลงทุนยังมองดัชนีล่าสุดเหมาะสำหรับลงทุนระยะกลางเน้นที่หุ้นขนาดใหญ่ อาทิ ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK SCB) ศูนย์การค้า (CPN) สื่อสาร (ADVANC) การเงิน (TIDLOR)
ADVANC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 266.00 บาท) ผู้บริหารคาดว่าดีล 3BB จะช่วยกระตุ้นการสร้างกระแสเงินสดได้ภายใน 12-18 เดือนหลังควบรวม แต่ยังไม่คิดว่าจะเป็นตัวกระตุ้นกำไรในระยะสั้นและกลาง เพราะดีลนี้มีค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสดจำนวนมาก ส่วนใหญ่คือรายการทางบัญชีด้านค่าเช่า ทั้งนี้ คาดว่าดีลจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/66 ถึงครึ่งแรกปี 67 เราคาดว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและอื่น ๆ ที่ไม่ใช่รายการเงินสดจะฉุดกำไรของ ADVANC ลงในช่วงแรก แต่ท้ายที่จะดีลนี้จะเป็นคุณภายในปีที่ 3 หลังควบรวม
TCAP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 56.00 บาท) ราคาหุ้นที่ลดลงช่วงล่าสุดทำให้เกิด upside และผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจในระดับ 7.4%-8.4% สำหรับปี 66-68 เราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 66-68 ขึ้น 5%-7% เพื่อสะท้อนผลประกอบการที่ดีกว่าคาดในไตรมาส 3/66 และธุรกิจสินเชื่อและประกันที่โตต่อเนื่อง เราคาดว่า TCAP จะมีกำไรสุทธิโตแข็งแกร่ง 30.6% ในปี 66
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ธ.ค. 66)
Tags: SET Index, ตลาดหุ้น, บล.พาย, วทัญ จิตต์สมนึก, หุ้นไทย, เฟด