นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “2024 สมรภูมิการค้าที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัว” ในงาน FTI Executive Thank You Dinner ว่า กติกาการค้าของโลกเปลี่ยนไป ปีหน้าจะมีหลายเรื่องถูกบังคับใช้ เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน การสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าที่เป็นธรรมยั่งยืน ดังนั้นอุตสาหกรรมของเราที่ไม่ปรับตัวก็จะลำบาก นอกจากนี้การกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานก็สำคัญ ซึ่งจากสถานการณ์โควิด-19 และสงครามใหม่ที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อาทิ รัสเซีย-ยูเครน และฮามาส-อิสราเอล ทำให้เรียนรู้ว่าภาคอุตสาหกรรมต้องมีแหล่งวัตถุดิบและแหล่งผลิตที่หลากหลาย ไม่ผูกติดรวมอยู่ที่เดียว
กระทรวงพาณิชย์พร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนภาคธุรกิจ โดยแบ่งภารกิจ 3 ด้าน ได้แก่
1.การพัฒนาผู้ประกอบการ ส่งเสริมซอฟท์พาวเวอร์ และปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการค้าในยุคดิจิทัล ในฐานะที่เราเป็นรัฐที่ส่งเสริม ไม่ใช่รัฐอุปสรรค ในกระทรวงพาณิชย์พบว่ามีกฎระเบียบข้อบังคับมากมายที่ควรปรับเปลี่ยน นโยบาย Quick Win 99 วัน เราจะปรับปรุงกฎหมายเร่งด่วน พระราชบัญญัติอย่างน้อย 4 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์, พ.ร.บ.GI, พ.ร.บ.สภาผู้ส่งทางเรือแห่งประเทศไทย และ พ.ร.บ.นำเข้าส่งออก และกฎระเบียบราชการอีกหลายเรื่อง
2.การปรับปรุงการทำงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมด ให้ง่ายต่อการเข้าถึงและมีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน
3.การส่งเสริมการปรับตัวของผู้ประกอบการไทยตามกติกาการค้าใหม่ของโลก ส่งเสริมความร่วมมือเพราะระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงจะต้องปรับให้สอดรับกับโลก
นายภูมิธรรม กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ดำเนินเป้าหมายยุทธศาสตร์ 10 ประเทศ คือ ตลาดเดิมที่ต้องสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส กลุ่มประเทศที่มีศักยภาพ ได้แก่ อินเดีย เกาหลีใต้ และกลุ่มประเทศตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบียและแอฟริกาใต้
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ความท้าทายของเศรษฐกิจที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากวิกฤตรอบด้าน (Polycrisis) ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Digital Transformation) สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยี (Trade War & Tech War) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก (Recession) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งที่ผ่านมาภาคธุรกิจพยายามปรับตัวเพื่อก้าวข้ามความท้าทายด้วยการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจ
ส.อ.ท.มุ่งเน้นที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม โดยมีการแบ่งอุตสาหกรรมออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 First Industries คือ อุตสาหกรรมเดิมที่ประกอบด้วย 46 กลุ่ม อุตสาหกรรม 11 คลัสเตอร์ ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Disruption Technology) ทำให้ต้องเร่งปรับตัวให้สามารถรักษาศักยภาพของอุตสาหกรรมไว้ได้
กลุ่มที่ 2 Next-GEN Industries อุตสาหกรรมใหม่ ประกอบด้วย
1) การส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายโดยให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (High Technology) เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรมดิจิทัล
2) การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วย BCG Model ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล มีการใช้เทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology) และเทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) ในระบบการผลิต
3) การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคอุตสาหกรรม เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ซึ่งถือเป็นเมกะเทรนด์ของโลกที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย และกรอบการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย
สำหรับในปี 2567 ภารกิจสำคัญของ ส.อ.ท.จะยังคงผลักดันการดำเนินงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ
1. งาน Foreign Industrial Club (FIC) เวทีในการหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรม การค้า และการลงทุน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และบริษัทต่างชาติ
2.โครงการอุตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะต้นแบบ SAI in Bangkok ต่อยอดสร้างเกษตรมูลค่าสูงตามความต้องการของตลาด
3.โครงการกองทุนอินโนเวชั่นวัน ซึ่งได้รับงบสนับสนุน 1,000 ล้านบาท จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีของสตาร์ทอัพมายกระดับภาคอุตสาหกรรม
4.การรับรองสินค้าที่ผลิตในไทย Made in Thailand (MiT) ที่สร้างโอกาสสู่การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยปัจจุบันมีการซื้อสินค้า MiT แล้วกว่า 1 แสนล้านบาท
5.ตลาดออนไลน์สินค้าทุกอุตสาหกรรม FTIebusiness.com ตลาดแบบ B2B ที่รวบรวมสินค้าราคาโรงงานกว่า 5,500 ร้านค้า สร้างยอดเสนอราคากว่า 2,000 ล้านบาท
6.การเปิดแพลตฟอร์ม FTIX ซื้อขายคาร์บอนเครดิตแห่งแรกในเอเปค และส่งเสริมการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้ธุรกิจปังอย่างยั่งยืน (EPR in Action)
7.สถาบันเศรษฐกิจและการลงทุนไทย-จีน (TCEII) เพื่อส่งเสริมขยายตลาดการค้าระหว่างไทยกับจีน และดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมโอกาสทางการค้าและการลงทุนไทยในซาอุดิอาระเบีย
8.งานความร่วมมือเพื่อเตรียมความพร้อมพัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของภาคธุรกิจ (Skill Mapping)
9.งาน FTI Executive Thank You Dinner ในวันนี้ที่ได้รวม 42 บริษัทสมาชิกรายใหญ่ มาสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ภาพอันดีระหว่างผู้บริหาร ส.อ.ท. กับสมาชิกรายใหญ่ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทยที่เข้มแข็งกว่าเดิม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย ONE FTI ของ ส.อ.ท.
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ย. 66)
Tags: ภูมิธรรม เวชยชัย, ส.อ.ท., เกรียงไกร เธียรนุกุล