นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนต.ค. 66 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่าง ๆ
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง และปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนตุลาคม 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 13.7% และ 4.4% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลัง 5.8% และ 1.7% ตามลำดับ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนตุลาคม 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 5.2% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 5.2% และรายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนตุลาคม 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 0.6% ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในเดือนตุลาคม 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60.2 จากระดับ 58.7 ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุน ในเดือนตุลาคม 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 22.3% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 4.5% ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ในเดือนตุลาคม 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -18.4%
สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนตุลาคม 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 3.9% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า -2.0% ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 9.0% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 2.6%
มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ 23,578.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 8.0% และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า เพิ่มขึ้น 5.4% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของสินค้าในหมวดหม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ อุปกรณ์กึ่งตัวนำฯ เครื่องโทรศัพท์อุปกรณ์และส่วนประกอบ และรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ โดยขยายตัว 38.5% 27.3% 15.1% และ 9.0% ตามลำดับ
นอกจากนี้ สินค้าในหมวดผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง ข้าว สิ่งปรุงรสอาหาร และผักกระป๋องและผักแปรรูป ขยายตัว 44.6% 37.7% 29.4% และ 19.4% ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออกยางพารา เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ และน้ำตาลทรายชะลอตัว
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวดีขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ทวีปออสเตรเลีย อินเดีย และจีน ที่ขยายตัว 13.8% 13.7% 8.6% และ 3.4% ตามลำดับ รวมทั้งกลุ่มตลาดอื่น ๆ ที่ขยายตัวได้ดี อาทิ กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ที่ขยายตัว 77.2% อย่างไรก็ดี ตลาดญี่ปุ่น และยูโรโซน ลดลงจากเดือนก่อน
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนจากภาคบริการ: โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนตุลาคม 2566 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย รวม 2.20 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 49.7% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า -43.6% โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย จีน อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนตุลาคม 2566 จำนวน 20.7 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน 17.0% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า -12.9%
ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรม ในเดือนตุลาคม 2566 ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -0.9% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า -2.4% จากการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ข้าว ยางพารา และปาล์มน้ำมัน อย่างไรก็ดี ผลผลิตข้าวโพดยังคงขยายตัว สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2566 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 88.4 จากระดับ 90.0 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากมีความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว
เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี: สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ -0.31% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.66% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 อยู่ที่ 62.1% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2566 อยู่ในระดับสูงที่ 210.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 พ.ย. 66)
Tags: ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค, พรชัย ฐีระเวช, สศค., สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง