นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 67 บริษัทตั้งเป้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเติบโตมากกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ (GDP) ไทย +1% ตามการขยายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และ Cafe Amazon อย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยวางงบลงทุนรวมไว้ราว 2.3 หมื่นล้านบาท
ขณะที่นายรชา อุทัยจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรกิจต่างประเทศ OR กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจ Global ของ OR วางงบลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 67-71) เอาไว้ที่ราว 8,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งจะมุ่งเน้นการขยายสถานีบริการ PTT Station และ Cafe Amazon และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่มีศักยภาพ
การขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ OR ช่วงแรกจะมุ่งเน้นไปที่ประเทศกัมพูชาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพมาก โดยมีการเติบโตของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ระดับ 5% และมีค่าการตลาดเสรี จากที่ OR ได้ขยายเข้ามาที่กัมพูชาแล้วในช่วงก่อนหน้านี้พบว่ามีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนประเทศอื่นๆ OR ยังคงมองโอกาสอย่างต่อเนื่อง เช่น เมียนมา แต่ขณะนี้ยังมีปัญหาด้านการเมืองในประเทศของเขาอยู่ ทำให้ต้องชะลอการลงทุนไปก่อน , สปป.ลาว วางเป้าเป็นแหล่งซัพพลายในอนาคต โดยเฉพาะการซัพพลายกาแฟให้กับประเทศต่างๆ
ขณะที่เวียดนาม แม้ยังไม่สามารถเปิดสถานีบริการน้ำมันได้ เนื่องจากประเทศของเขายังไม่เปิดให้ต่างชาติเข้าไปลงทุน แต่ OR ได้ขยายเข้าไปในธุรกิจรีเทลหรือ Food and Beverage ผ่านการจับมือกับเซ็นทรัลกรุ๊ป และปัจจุบันยังมีโปรเจกที่อยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับบริษัทน้ำมันแห่งชาติ เพื่อนำธุรกิจ Lifestyle เข้าไป, ฟิลิปปินส์ ยังคงเดินหน้าขายน้ำมันเครื่องบิน และขายให้อุตสาหกรรมต่างๆ
ปี 67 ควักงบลงทุน 62.5 ล้านเหรียญฯ พุ่งเป้าสยายปีกปั๊มครบทุกจังหวัดในกัมพูชาครบทุกจังหวัด-ตั้งคลัง LPG
นายกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศของ OR ในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศเพื่อสร้างความสำเร็จและการยอมรับในตลาดโลก โดยมุ่งเสริมความแข็งแกร่งของการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศที่ OR ดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะประเทศกัมพูชา ซึ่ง OR ได้วางกลยุทธ์ให้เป็นบ้านหลังที่ 2 ด้วยการมุ่งเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงแสวงหาโอกาสร่วมกับพันธมิตรทั้งจากประเทศไทยและพันธมิตรในพื้นที่ รวมไปถึงการขยายธุรกิจไปในประเทศใหม่ๆ
ในปี 67 บริษัทฯ จะใช้งบลงทุนราว 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 1.6-1.7 พันล้านบาท เพื่อลงทุนขยายสถานีบริการ PTT Station ในกัมพูชา 27 แห่ง ซึ่งจากปัจจุบัน 172 แห่ง แบ่งเป็น COCO 12 แห่ง และ DODO 160 แห่ง และคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีเพิ่มเน 175 แห่ง โดยจะมุ่งเน้นขยายไปให้ครบทุกจังหวัด โดยปัจจุบันยังเหลืออีก 3 จังหวัด ที่ยังไม่ได้ขยายเข้าไป ปัจจุบันสถานีบริการ PTT Station ในกัมพูชามีมาร์เก็ตแชร์ 15% เป็นอันดับ 2 รองจากอันดับ 1 คือ Tela ที่มีมาร์เก็ตแชร์เกือบ 30%
ส่วนการขยาย Cafe Amazon คาดขยายเพิ่มอีก 31 สาขา โดยปัจจุบันมีสาขา 231 สาขา แบ่งเป็น COCO 20 สาขา และ DODO 211 สาขา ซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์คิดป็น 23% เป็นอันดับ 1
บริษัทฯ ยังมีแผนลงทุนคลัง LPG ในกัมพูชา ความจุ 2,200 ตัน โดยจะใช้งบลงทุนรวม 12.5 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดต้นปีหน้าจะเริ่มเซ็นสัญญากับผู้รับเหมาก่อสร้าง และมีกำหนดเปิดดำเนินการในปี 68 เบื้องต้นจะขาย LPG ให้กับภาคอุตสาหกรรมเป็นหลักก่อน ต่อจากนั้นจะขยายไปจำหน่ายให้กับกลุ่มอาคารพาณิชย์ที่มีถังเก็บขนาดใหญ่ และยังมองการลงทุนธุรกิจยางมะตอยด้วย
นายรชา กล่าวว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก OR จึงวางกลยุทธ์ให้กัมพูชาเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 รองจากไทย โดยดำเนินธุรกิจทั้งกลุ่มธุรกิจ Mobility ได้แก่ สถานีบริการ PTT Station คลังเก็บผลิตภัณฑ์ และธุรกิจหล่อลื่น PTT Lubricants รวมทั้งร่วมทุนในบริษัทร่วมค้า (Joint Venture) ให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ณ สนามบินนานาชาติแห่งใหม่ในกรุงพนมเปญ ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างมีกำหนดแล้วเสร็จไตรมาส 3/67 รวมถึงแสวงหาโอกาสธุรกิจพลังงานอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Battery Swapping และสถานีชาร์จไฟฟ้า EV station PluZ และกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มี Cafe Amazon ร้านสะดวกซื้อ และร้านสะดวกซัก Otteri Wash & Dry
นายณัฐพงศ์ แก้วตระกูลพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปตท.(กัมพูชา) จำกัด (PTTCL) กล่าวว่า PTTCL มุ่งมั่นที่จะขยายฐานการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในประเทศกัมพูชา โดยดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิด “Betterment for Cambodian Community and Lifestyle” ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโต ใน 3 มิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมมุ่งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ กับพันธมิตรทั้งจากประเทศไทยและพันธมิตรในพื้นที่ที่มีศักยภาพ
สำหรับกลุ่มธุรกิจ Mobility PTTCL มีเครือข่ายคลังเก็บผลิตภัณฑ์ 7 แห่ง รองรับการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันอากาศยาน และมีแผนลงทุนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ อาทิ คลังน้ำมันและก๊าซ LPG โรงงานผสมยางมะตอย รวมทั้งยังมีสถานีบริการ PTT Station รวม 172 แห่งในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศกัมพูชา
ส่วนกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มีความโดดเด่นด้วยร้าน Cafe Amazon ซึ่งได้รับการตอบรับจากชาวกัมพูชาเป็นอย่างดี ปัจจุบันในกัมพูชามี 231 สาขา และมีร้านสะดวกซื้อ 63 สาขา ร้านสะดวกซัก Otteri Wash & Dry ซึ่งเป็นการนำพันธมิตรของ OR ไปบุกเบิกตลาดกัมพูชา นำร่องติดตั้ง Solar Rooftop บนหลังคาสถานีบริการ PTT Station สาขา Chbar Ampov การติดตั้งและเปิดให้บริการสถานีชาร์จ EV Station PluZ แล้ว 3 แห่ง เป็นต้น
ในไทยจ่อเซ็น MOU พันธมิตรเกาหลีรุกธุรกิจ Wellness
ส่วนประเทศไทย ปีหน้าจะมี Surplus ชัดเจน จากการปรับคุณภาพน้ำมันให้สะอาดเป็นมาตรฐานน้ำมัน EURO 5 (กำมะถัน ต่ำกว่า 10 ppm) ซึ่งเทียบเคียงกับยุโรป เพื่อลด PM 2.5 จากปัจจุบัน ประเทศไทยมีมาตรฐานบังคับที่ EURO 4 (กำมะถัน ต่ำกว่า 50 ppm) ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างรอการประกาศของราคา
ขณะที่ในปี 67 บริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุน โดยเฉพาะ Inventory management เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์พลังงานโลก และการ Synergy ผ่านการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ควบคุมต้นทุน พร้อมกันนี้ในสัปดาห์หน้า บริษัทฯ จะมีการเซ็นสัญญา MOU กับพันธมิตรเกาหลีใต้ในธุรกิจ Wellness เพื่อดำเนินธุรกิจด้านสุขภาพในประเทศไทย
OR ยังมีอีกหลายธุรกิจ ซึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญสถานีบริการน้ำมันฯ มากไปกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยบริษัทฯ มีการขายน้ำมันอากาศยาน (น้ำมันเครื่องบิน) , น้ำมันเรือ , LPG และน้ำมันหล่อลื่น PTT Lubricants ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 นอกจากนั้นยังขายน้ำมันให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงไฟฟ้า อีกทั้งยังขายยางมะตอย , ผลิตภัณฑ์พิเศษ เป็นต้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 พ.ย. 66)
Tags: Cafe Amazon, GDP, OR, กัมพูชา, ดิษทัต ปันยารชุน, ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก, เวียดนาม, เศรษฐกิจ