นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ที่จะช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท จำนวน 4.68 ล้านครัวเรือน วงเงิน 56,321.07 ล้านบาท โดยจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาวันที่ 14 พ.ย.66 โดยหลังครม.อนุมัติ จะดำเนินการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรได้ทันที
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นเจ้าภาพพิจารณาหามาตรการที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาคุณภาพการผลิตให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ทั้งการจัดหาเมล็ดพันธุ์ใหม่ๆ การบริหารจัดการใหม่ๆ เพื่อให้คุณภาพข้าวดีขึ้น จะได้ไม่ต้องดูแลแบบนี้ทุกปี และถ้าเป็นไปตามเป้าหมาย ก็จะไม่มีโครงการแบบนี้อีก เพราะจะเกิดกระบวนการทำงานในรูปแบบใหม่ที่จะช่วยเกษตรกรให้เพาะปลูกข้าวที่มีคุณภาพ ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น คุณภาพดีขึ้น และต้นทุนต่ำลง
“ปีนี้น่าจะเป็นปีสุดท้ายที่จะได้เห็นการช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่ใช่เพราะเป็นภาระของรัฐบาล แต่กระทรวงเกษตรฯจะหาวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน เพื่อให้สามารถผลิตข้าวได้คุณภาพดีขึ้น ในต้นทุนที่ต่ำลง แต่หากการดำเนินการยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่ได้”
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้ปรับปรุงมาตรการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีปี 66/67 เป้าหมาย 3 ล้านตัน วงเงิน 10,120.71 ล้านบาท โดยทบทวนให้มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยค่าฝากเก็บตันละ 1,500 บาท ให้กับสหกรณ์ที่มียุ้งฉางเหมือนเดิม แต่เพิ่มให้กับเกษตรกรที่มียุ้งฉางเป็นของตัวเอง จะได้ตันละ 1,500 บาทด้วย
ส่วนเกษตรกรรายย่อยที่ไม่มียุ้งฉาง ถ้าเก็บที่สหกรณ์ สหกรณ์จะได้ตันละ 1,000 บาท เกษตรกรได้ตันละ 500 บาท และสามารถนำข้าวที่ฝากเก็บมาขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ คือ ข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 ล้านบาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 10,000 บาท หากข้าวราคาขึ้น เกษตรกรสามารถไปไถ่ถอนออกมา เพื่อนำมาจำหน่ายได้
ขณะที่มาตรการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร เป้าหมาย 1 ล้านตัน วงเงิน 481.25 ล้านบาทนั้น ได้ทบทวนอัตราดอกเบี้ยที่รัฐบาลจะชดเชยให้ โดยสหกรณ์จ่ายดอกเบี้ย 1% เท่าเดิม และรัฐช่วยดอกเบี้ย 3.50-3.85% เพราะ ธ.ก.ส. คิดดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.50-4.85% ระยะเวลา 15 เดือน
สำหรับมาตรการชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการเก็บสต๊อกข้าว ได้กำหนดให้มีการชดเชยดอกเบี้ยให้กับโรงสีเพียงอย่างเดียว จากที่ก่อนหน้านี้ มีการเสนอชดเชยให้กับผู้ส่งออก และผู้ประกอบการข้าวสารบรรจุถุงด้วย โดยรัฐจะช่วยชดเชยดอกเบี้ยให้กับโรงสี ที่เหลือโรงสีรับผิดชอบ และให้ธนาคารกรุงไทยเข้ามาช่วยปล่อยกู้ ซึ่งจะมีการนำเสนอกรอบวงเงินชดเชย อัตราดอกเบี้ยที่ชดเชยให้ นบข. และ ครม. พิจารณาต่อไป
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ไปดูแลให้สหกรณ์การเกษตรรับซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิสดจากเกษตรกรในราคาตันละ 12,000 บาท เป้าหมาย 1 ล้านตัน ซึ่งเป็นมาตรการเสริมนอกเหนือจากมาตรการที่ นบข. ได้มีมติออกมา เพื่อช่วยดูแลราคาข้าวให้กับเกษตรกร ส่วนข้าวที่สหกรณ์ซื้อไว้ ก็จะนำไปแปรรูปหรือดำเนินการตามความเหมาะสม คาดว่าจะมีมีสหกรณ์เข้าร่วมประมาณ 480 แห่ง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 พ.ย. 66)
Tags: ข้าว, ครม., นบข., ภูมิธรรม เวชยชัย, เกษตรกร