นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 1,191 ล้านบาท และมีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) 475 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% และ 426% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรสุทธิ ซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,844% จากปีก่อน
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 3,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% และมีกำไรปกติ จำนวน 1,123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 165% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ จำนวน 1,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 304% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน
ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของกำไรปกติ มีสาเหตุหลักจากส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จากการที่ค่า Ft ได้ปรับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ทำให้อัตรากำไรในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า SPP ที่จำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมฟื้นตัว ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำทั้งในประเทศ และในประเทศเวียดนาม ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
– ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) ในไตรมาส 3/2566 ยังเติบโตต่อเนื่อง จากปริมาณยอดจำหน่ายและบริหารน้ำทั้งในและต่างประเทศรวมกันเท่ากับ 41 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกของปี 2566 มียอดจำหน่ายและบริหารน้ำรวม เท่ากับ 117 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยการเพิ่มขึ้นชองปริมาณการจำหน่ายน้ำในประเทศมีปัจจัยหลักมาจากปริมาณยอดขายน้ำดิบ (Raw Water) ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้น้ำของลูกค้ากลุ่มพลังงาน
ขณะเดียวกัน การจำหน่ายน้ำในประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะจากโครงการ Duong River ยังคงมีการเติบโตเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำในประเทศเวียดนาม และการขยายฐานลูกค้าและพื้นที่ในการให้บริการน้ำประปาที่ครอบคลุมมากขึ้น และบริษัทฯ คาดว่า ยอดจำหน่ายน้ำในประเทศเวียดนาม จะเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอนาคตตามความต้องการของลูกค้าที่ทยอยเปิดดำเนินการในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟส 1 และแผนการขยายธุรกิจสาธารณูปโภคควบคู่ไปกับการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในประเทศเวียดนาม
– ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ในไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้า จำนวน 484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2565 ในขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 2566 มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้า จำนวน 949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวของส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP เนื่องจากค่า Ft ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ทำให้ในส่วนของการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน GHECO-One ในไตรมาส 3/2566 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โรงไฟฟ้าถ่านหิน GHECO-One มีการหยุดซ่อมบำรุง ทำให้ได้รับค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าที่ลดลง
ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ในไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ รับรู้รายได้ทั้งสิ้น 108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ มีกำลังการผลิตจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการแล้วรวม 106 เมกะวัตต์ และมีจำนวนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการ Private PPA จากพลังงานแสงอาทิตย์สะสมแล้ว จำนวน 179 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 730 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทฯยังขยายโครงการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาร่วมกับ บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย จำกัด (“AAT”) เพื่อติดตั้งโซล่าร์ แบบลอยน้ำ (Solar Floating) โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าขนาด 8 เมกะวัตต์ บนพื้นที่ติดตั้ง 60,000 ตารางเมตร ในนิคมอุตสาหกรรมอิสเทิร์น ซีบอร์ด (ระยอง) ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ซึ่งคาดว่าจะผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในเดือนกันยายน 2567
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 พ.ย. 66)
Tags: WHAUP, ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์, สมเกียรติ เมสันธสุวรรณ