มอร์แกน สแตนลีย์รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากอีพีเอฟอาร์ (EPFR) โดยระบุว่า ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกเทขายหุ้นในตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงรวมกันมูลค่า 3.1 พันล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. ซึ่งนับเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันที่กองทุนทั่วโลกเทขายหุ้นในตลาดทั้งสองแห่งรวมกันมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์
นายกิลเบิร์ต หว่อง นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวว่า “เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงอย่างมาก โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมภาคการผลิตที่หดตัวลงกว่าคาดในเดือนต.ค.
ทั้งนี้ หุ้นที่ถูกเทขายรวมถึงหุ้นบริษัทเจดีดอทคอม (JD.com), เสียวหมี่ (Xiaomi) และไชน่า คอนสตรักชัน แบงก์ (China Construction Bank) แต่ก็มีการซื้อหุ้นเพิ่มเติมในบริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่อย่างอาลีบาบา (Alibaba) และไป่ตู้ (Baidu) รวมทั้งบริษัทประกันรายใหญ่อย่างเอไอเอ (AIA)
เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณชะลอตัวลง หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนต.ค.ของจีนปรับตัวลงสู่ระดับ 49.5 จากระดับ 50.2 ในเดือนก.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจอยู่ที่ 50.2 โดยดัชนีที่ระดับต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนอยู่ในภาวะหดตัว
การหดตัวของดัชนี PMI สะท้อนให้เห็นว่าภาคการผลิตของจีนยังไม่แข็งแกร่งมากเพียงพอ แม้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2566 ของจีนขยายตัว 4.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าอาจขยายตัว 4.6%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 พ.ย. 66)
Tags: กองทุน, ขายหุ้น, ตลาดหุ้นจีน, ตลาดหุ้นฮ่องกง, มอร์แกน สแตนลีย์