ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าบวก ขานรับเฟดตรึงดอกเบี้ย

ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าบวกในวันนี้ (2 พ.ย.) โดยเคลื่อนไหวตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นเมื่อวันพุธ (1 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด (31 ต.ค.-1 พ.ย.) เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน ขณะเดียวกันนักลงทุนพิจารณาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อจากเกาหลีใต้

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดภาคเช้าที่ระดับ 31,954.48 จุด เพิ่มขึ้น 352.83 จุด หรือ +1.12%, ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ระดับ 3,026.32 จุด เพิ่มขึ้น 3.24 จุด หรือ +0.11% และดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ระดับ 17,307.88 จุด เพิ่มขึ้น 206.10 จุด หรือ +1.21%

เฟดมีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 ท่ามกลางสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว ขณะที่ภาวะตลาดแรงงานและเงินเฟ้อยังคงอยู่เหนือเป้าหมายของเฟด และในการตัดสินใจดอกเบี้ยครั้งนี้ เฟดได้เพิ่มการประมาณการทั่วไปเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐด้วย

ข้อมูลจากเกาหลีใต้แสดงให้เห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนต.ค. โดยเพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ในผลสำรวจที่จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้น 3.6%

ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.75% ในวันนี้ (2 พ.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 ในการประชุมเมื่อวานนี้ (1 พ.ย.)

ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว HKMA จะดำเนินนโยบายการเงินในแนวทางเดียวกับเฟด เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงผูกติดกับดอลลาร์สหรัฐในกรอบ 7.75-7.85 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (1 พ.ย.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า 1.6% หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด และการแสดงความเห็นของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ทำให้นักลงทุนมีมุมมองบวกว่าเฟดได้เสร็จสิ้นภารกิจการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,274.58 จุด เพิ่มขึ้น 221.71 จุด หรือ +0.67%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,237.86 จุด เพิ่มขึ้น 44.06 จุด หรือ +1.05% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,061.47 จุด เพิ่มขึ้น 210.23 จุด หรือ +1.64%

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 พ.ย. 66)

Tags: ,
Back to Top