“ไนซ์ คอล” ยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้น IPO 50 ล้านหุ้น เข้าตลาด mai

บมจ. ไนซ์ คอล (NCP) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนฉบับแรก ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 50,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 27.78% ของจำนวนหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) โดยมีบริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

NCP ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้า และให้บริการทำการตลาดแบบตรง (Direct Marketing) ผ่านช่องทางการขายทางโทรศัพท์ (Telemarketing) โดยสินค้าที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในการจัดจำหน่าย ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ความสวยงาม และสินค้าเวชสำอาง

บริษัทมีวัตถุประสงค์จะนำเงินไปใช้ก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ จำนวน 30 ล้านบาท ภายในไตรมาส 1 ปี 2568 , ก่อสร้างสถานที่ทำงานในเรือนจำ จำนวน 10 ล้านบาทภายในปี 2569 , พัฒนาระบบเทคโนโลยีซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจใหม่และพัฒนาระบบเครือข่ายเพื่อรองรับการเพิ่มจำนวนพนักงาน จำนวน 5 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2568 และเป็นเงินทุนหมุนเวียน

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีคู่ค้าพันธมิตรที่ขายสินค้าผ่านช่องทางการขายของบริษัทฯ มากกว่า 53 ราย และมีผลิตภัณฑ์สินค้าที่จัดจำหน่ายทั้งหมดมากกว่า 275 รายการ โดยบริษัทฯ มีกลุ่มสินค้าหลักทั้งหมด 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ 2) กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อความงาม และ 3) กลุ่มสินค้าเวชสำอาง โดยบริษัทฯ ได้มีการทำการขายให้กับคู่ค้าพันธมิตรหลากหลายแบรนด์ที่มีความนิยมในตลาด อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ แบรนด์ “B-Garlic” “Celvita” “Donutt” และ “BetaCal” ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อความงาม แบรนด์ “My Vitamin” และ สินค้าเวชสำอาง แบรนด์ “Nisit” และ “LYO” เป็นต้น

นอกเหนือไปจากการขายสินค้าจากคู่ค้าพันธมิตรแล้ว บริษัทฯ ยังได้มีการพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเอง (House Brand) ภายใต้แบรนด์สินค้า “BN” ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าออกจัดจำหน่ายแล้วทั้งหมด 19 ผลิตภัณฑ์ อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อบำรุงสายตา ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อความงาม กลุ่มไฟเบอร์สำหรับดีท็อกซ์แบบชงดื่ม และ สินค้าเวชสำอาง ประเภทเซรั่ม และสบู่ เป็นต้น ทั้งนี้ การพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทเอง (House Brand) ทำให้บริษัทฯ สามารถนำเสนอสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีคุณภาพ เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค ครอบคลุมต่อความต้องการ และนำมาซึ่งลูกค้าประจำที่มีความภักดีในแบรนด์ (Brand Royalty) ต่อแบรนด์สินค้าบริษัทฯ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว

ปัจจุบันบริษัทฯ เป็นผู้นำในธุรกิจการขายผ่านโทรศัพท์ (Telemarketing) ที่ดำเนินการให้กับคู่ค้าพันธมิตร นอกเหนือจากการขายสินค้าของบริษัท (House Brand) เพียงอย่างเดียว โดยมีกลุ่มฐานข้อมูลลูกค้าเป้าหมายของบริษัทมากกว่า 5 ล้านรายชื่อเพื่อช่วยสนับสนุนในการทำการขายสินค้าให้กับคู่ค้าพันธมิตร และมีพนักงานขายสินค้าทางโทรศัพท์ (Telesales) มากกว่า 117 คน ในการสนับสนุนและรองรับการให้บริการแก่ลูกค้า นอกจากนี้ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ริเริ่มโครงการคืนคนดีสู่สังคมกับเรือนจำในหลายพื้นที่ รวมถึงมีการลงนามกรอบร่วมมือกับกรมราชทัณฑ์ในการส่งเสริมการฝึกวิชาชีพและส่งเสริมทักษะการทำงานให้แก่ผู้ต้องขังเพื่อประกอบธุรกิจการขายทางโทรศัพท์ (Telemarketing) โดยปัจจุบันมีผู้ต้องขังที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 44 คน ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเป็นการเปิดโอกาส สร้างอาชีพให้แก่ผู้ต้องขังภายหลังพ้นโทษรวมถึงสร้างการยอมรับของสังคม

โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2566 ได้แก่ นายศรัณย์ เวชสุภาพร ถือสัดส่วน 70% หลังการเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนเป็น 50% , นายนพพล ชูกลิ่น ถือ 25% หลังขาย IPO จะเหลือ 18.05% และนายอเนก อึ้งตระกูล ถือ 5% หลังขาย IPO จะเหลือ 3.61%

ในปี 2563 ถึง 2565 และงวด 6 เดือนปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 181.35 ล้านบาท 191.23 ล้านบาท 181.03 ล้านบาท และ 89.40 ล้านบาท ตามลำดับ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในปี 2563 ถึงปี 2565 และงวด 6 เดือนปี 2566 จำนวนเท่ากับ 27.91 ล้านบาท 25.56 ล้านบาท 20.22 ล้านบาท และ 5.80 ล้านบาท ตามลำดับ

บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ต.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top