เวียดนามหวังตั้งโรงงานผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์แห่งแรกในประเทศ

ผู้บริหารธุรกิจ 2 รายระบุว่า เวียดนามกำลังจัดการเจรจากับกลุ่มบริษัทผู้ผลิตชิป โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนภายในเวียดนาม และอาจสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งแรกขึ้นในประเทศ แม้เจ้าหน้าที่ด้านอุตสาหกรรมของสหรัฐได้เตือนเกี่ยวกับปัญหาต้นทุนสูงก็ตาม

ปัจจุบัน เวียดนามเป็นที่ตั้งโรงงานบรรจุและทดสอบชิปเซมิคอนดักเตอร์จากทั่วโลกขนาดใหญ่ที่สุดของอินเทล (Intel) ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จากสหรัฐ ทั้งยังเป็นที่ตั้งของบริษัทซอฟต์แวร์ที่ออกแบบชิปหลายแห่งจากทั่วโลก โดยขณะนี้ เวียดนามกำลังดำเนินการเชิงกลยุทธ์เพื่อดึงดูดการลงทุนด้านชิปเซมิคอนดักเตอร์ให้มากขึ้น รวมถึงการลงทุนจากโรงหล่อที่เน้นการผลิตชิป

นายหวู ตู แทง หัวหน้าสำนักงานสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียนประจำเวียดนาม กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เวียดนามได้จัดประชุมกับบริษัทชิปของสหรัฐประมาณ 6 แห่งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงกับผู้ประกอบการโรงงานผลิตชิป แต่ไม่ได้เปิดเผยชื่อบริษัทเหล่านั้น เนื่องจากการเจรจายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น

ผู้บริหารชิปรายหนึ่งซึ่งปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวตนเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อกล่าวว่า การเจรจากับนักลงทุนที่มีศักยภาพนั้นเกี่ยวข้องกับบริษัทโกลบอลฟาวน์ดรีส์ (GlobalFoundries) ซึ่งเป็นผู้ผลิตตามสัญญาจ้างของสหรัฐ และบริษัท PSMC ของไต้หวัน

ขณะเดียวกันผู้บริหารชิปรายดังกล่าวระบุด้วยว่า เป้าหมายการเจรจาครั้งนี้คือเพื่อสร้างโรงงานแห่งแรกของเวียดนาม ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะเป็นโรงงานสำหรับชิปที่ใช้ในรถยนต์หรือสำหรับการใช้งานด้านการโทรคมนาคม

การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังการยกระดับความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างเวียดนามและสหรัฐในเดือนก.ย. โดยเป็นช่วงที่นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ เดินทางเยือนกรุงฮานอย และทางทำเนียบขาวได้กล่าวถึงเวียดนามว่าอาจเป็นผู้เล่นที่สำคัญในห่วงโซ่อุปทานชิปเซมิคอนดักเตอร์โลก

แหล่งข่าวระบุว่า บริษัทโกลบอลฟาวน์ดรีส์ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดทางธุรกิจในระหว่างการเยือนเวียดนามของปธน.ไบเดนตามคำเชิญของปธน.ไบเดน แต่ตั้งแต่นั้นมาทางบริษัทก็ยังไม่ได้แสดงความสนใจที่จะลงทุนในเวียดนามทันที

ด้านโฆษกของบริษัทโกลบอลฟาวน์ดรีส์กล่าวว่า “เราไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวลือที่เกิดขึ้นในตลาดชิป”

ส่วนทาง PSMC ไม่ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็นจากรอยเตอร์

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ต.ค. 66)

Tags: , ,
Back to Top