WealthMePlease: จัดทัพรับปีมังกร JITTA แนะอุดกองหลังวาง Bond ให้แน่น-โดด้วยหุ้นสหรัฐ

ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกในปัจจุบันยังไม่น่าไว้วางใจ แรงกดดันหลายปัจจัยโหมเข้ามาหนัก ปัจจัยเดิมที่ยังไม่พ้นเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้อีก โดยบอนด์ยีลด์สหรัฐพุ่งขึ้นแตะ 5% นิวไฮรอบ 16 ปีไปแล้ว และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสปะทุเป็นสงครามที่ส่อแววจบไม่ง่าย แต่ชีวิตนักลงทุนยังต้องเฟ้นหาทางเอาชนะในโค้งสุดท้ายของปีนี้หวังรอรับโอกาสกำไรในปีหน้า

นายตราวุทธ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะเวลธ์ กล่าวกับ “อินโฟเควสท์” ว่า สถานการณ์การลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โฟกัสที่ 2 ตลาดหลักคือ 1) ตลาดหุ้นสหรัฐ โดยปัจจุบันมีความชัดเจนว่าดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นมาต่อเนื่อง และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ เฟดน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย นักลงทุนต้องติดตามว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนานแค่ไหน หากคงระดับสูงไว้นานตลาดหุ้นอาจจะขึ้นได้ยาก แต่หากดอกเบี้ยปรับลงตลาดหุ้นก็จะกลับมาน่าสนใจมากขึ้น

โอกาสนี้น่าจะเข้าลงทุนหุ้นสหรัฐได้ เพราะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นว่าเฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย และหลังจากนี้มีแต่ดอกเบี้ยเท่าเดิมหรือลดลง ฉะนั้น หากลงทุนหุ้นในกิจการที่ดีสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ ซึ่งจะต้องเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้มมาก ไม่เสียดอกเบี้ยมาก ก็มีโอกาสหุ้นเหล่านี้เติบโตหลายๆเท่าในหลายปีข้างหน้าได้ แต่ต้องเฟ้นหาหุ้นรายตัวที่ถูกต้อง

2) ตลาดหุ้นจีน ปัจจัยที่นักลงทุนต้องจับตา คือภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะเกิดวิกฤต ตั้งแต่บริษัทเอเวอร์แกรนด์เมื่อปี 2021 และยังมีบริษัทอสังหาฯ รายอื่นๆ ของจีนก็มีปัญหาเดียวกัน จึงต้องติดตามว่าทางการจีนจะสกัดกั้นปัญหานี้อย่างไรไม่ให้ลุกลามไปถึงภาคการเงิน อย่างไรก็ดี ทางการจีนก็มีความพยายามควบคุมปัญหานี้มาเรื่อยๆ

ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นจีน ตกลงมาเยอะมากจากจุดสูงสุดนับจากในปี 2021 มาถึงปัจจุบันทั้งหุ้นจีน และหุ้นฮ่องกง ดัชนีดิ่งลงมา 30-40%แล้ว จึงมองว่าเป็นจุดที่น่าเข้าลงทุนได้

*ทิศทางการลงทุนในปี 67

ในฐานะนักลงทุนต้องมองหาโอกาสตลอดเวลา และนักลงทุนส่วนใหญ่ก็ชอบความชัดเจน ดังนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐที่มีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยทำให้มั่นใจได้มากกว่า แต่สำหรับตลาดหุ้นจีน ยังไม่แน่ใจว่าปัญหาของกลุ่มอสังหาฯจะมีไปไกลถึงเมื่อใด ควรให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่า หรือเลือกลงทุนแบบระมัดระวังมากกว่าตลาดสหรัฐ โดยให้เน้นค้นหาบริษัทที่มีกิจการที่ดีไว้ก่อน และราคาไม่แพงเกินไป โดยให้กรอบระยะเวลาการลงทุน 3-5 ปี ถือว่าปลอดภัยและลงทุนได้

ทั้งนี้ ในปีหน้ามองว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกไม่น่าจะถดถอยรุนแรง (Hard Landing) แต่อาจจะถดถอยแบบ Soft Landing ซึ่งแต่ละประเทศน่าจะมีมาตรการปกป้องเศรษฐกิจไม่ให้เกิด Hard Landing และคาดว่าไม่น่าจะเกิดเศรษฐกิจโลกถดถอยทั้งหมด แต่อัตราการเติบโตของ GDP โลกอาจชะลอลงบ้าง

ดังนั้น ช่วงไตรมาส 4/66 ถึงไตรมาส 1/6 ติดตามให้ดีเพื่อเฟ้นหาบริษัทที่จะเข้าลงทุนได้ โดยตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะเป็นขาขึ้นชัดเจน โดยระหว่างที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐานก็น่าจะเป็นจังหวะเข้าสะสม ส่วนตลาดหุ้นจีน ยังไม่เห็นจุดขาขึ้น ด้วยเพราะปัญหาภาคอสังหาฯ ใหญ่ฉุด และนักลงทุนต่างชาติอย่างเราเข้าถึงข้อมูลได้น้อย และไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินมาชัดเจนแค่ไหน เป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น ถ้าจะลงทุน แนะนำค่อยๆ ทยอยลงทุนหุ้นจีน ภายใน 1-2 ปีน่าจะเป็นจังหวะที่ต้องฟื้นตัวแล้ว หากจีนสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เชื่อว่าทางรัฐบาลจีนจะกลับมาเร่งเครื่องการเติบโตเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนก็ชะงักจากพิษโควิด การเลือกผู้นำใหม่ ทั้งนี้มองกรอบเวลา 1-2 ปีตลาดหุ้นจีนน่าจะปรับตัวขึ้นได้ จากที่ตลาดหุ้นจีนตกลงไป 2-3 ปีแล้ว ดูตามสถิติหุ้นจีนปีหน้าก็น่าจะมีโอกาสรีบาวด์

ส่วนตลาดหุ้นไทย ต้องดูนโยบายภาครัฐ และปัจจุบันให้เลือกเล่นบาง Sector ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว เพราะมีการกระตุ้นการท่องเที่ยว เงินบาทอ่อนค่า นักท่องเที่ยวก็อาจจะมามากขึ้น นอกเหนือจากนี้ จะเป็นนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทที่คนคอยจับตาดูอยู่ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจภาคไหนอย่างไร ธุรกิจใดที่ได้ประโยชน์ และเงื่อนไขการใช้เป็นอย่างไร ซึ่งธุรกิจค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภคก็น่าจะได้รับประโยชน์ หรือ กลุ่มไฟแนนซ์ คนมีเงินเพิ่มก็อาจจะใช้จ่ายมากขึ้น

*จัดสรรลงทุนกระจายทั้งบอนด์-หุ้นสหรัฐ/จีน/เวียดนาม

นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า ในปัจจุบัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นสูง นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ไม่เสี่ยงมากจนเกินไป ก็สามารถลงทุนได้ ในกองทุน ETF บอนด์สหรัฐ คาดรับผลตอบแทนราว 5% ซึ่งระยะเวลาลงทุนประมาณ 1-2 ปี

ขณะที่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว หรือ 3-5 ปี ก็แนะให้ลงทุนในหุ้น โดยตลาดหุ้นที่น่าสนใจคือ ตลาดหุ้นสหรัฐ ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นเวียดนาม

สำหรับเวียดนาม มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีในช่วงที่ผ่านมา โดยในปี 66 คาด GDP จะเติบโต 5-6% และมีเงินลงทุนโดยตรง (FDI) จำนวนมาก เพราะทั้งผู้ผลิตอย่าง แอปเปิ้ล ซัมซุง ฟอลคอนน์ เตรียมไปลงทุนที่เวียดนาม เพราะสหรัฐและจีนมีข้อพิพาทระหว่างกัน เวียดนามก็ได้รับผลประโยชน์ตรงนี้ และชนชั้นกลางของเวียดนามเริ่มขยายตัว รวมถึงการท่องเที่ยวในเวียดนามปัจจุบันมีอัตราเติบโตสูงมาก

“การจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ใดขึ้นกับความเสี่ยงของแต่ละคนที่จะสามารถรับได้ แต่หากเป็นการจัดสรรแบบกลางๆ ให้การลงทุนในตราสารหนี้ 20-30% ส่วนตลาดหุ้นลงทุน 60-70% หากบอนด์ยีลด์ลดลงก็ค่อย swicth ไปลงทุนหุ้น ก็จะทำให้ผลตอบแทนได้ดีขึ้น”นายตราวุทธ์ กล่าว

สำหรับการลงทุนในหุ้น จิตตะเวลธ์ มองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐ จีน เวียดนาม เติบโตสูง โดยแนะนำให้มีพอร์ตหุ้นต่างประเทศติดไว้ ไม่ใช่มีเพียงตลาดหุ้นไทย เพราะการลงทุนควรกระจายตาม Globalization อีกอย่างมองภาพเศรษฐกิจไทย 3-5 ปีไม่แน่ใจจะเป็นอย่างไร ยังมองภาพออกมายากมาก โดยรู้เพียงว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลง ถ้าไม่มี New Sector ใหม่ๆ

ประเทศไทยก็เป็นประเทศที่อิ่มตัวมากในระดับหนึ่งแล้ว บริษัทที่เคยโต 20-30%ต่อปี ก็ลดลงเหลือโต 10-12% ซึ่งไม่ค่อยมีแล้วบริษัทที่จะเติบโตในอัตราสูงๆ เพราะฉะนั้นควรหันไปลงทุนประเทศที่มีศักยภาพ อาทิ จีน เวียดนาม อเมริกา และลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เติบโตอยู่ ทั้งนี้ มองแล้วตลาดหุ้นไทยน่าสนใจน้อยกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศที่ยกขึ้นมา

*จัดทัพลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากกว่า 7%

ถ้าเปรียบเป็นนักฟุตบอล กองหลังกับประตูมีหน้าที่ safe ก็ให้ลงทุนบอนด์สหรัฐ 20-30% เน้นปลอดภัย หรือหากต้องการความปลอดภัยเพิ่มก็อาจจะลง 50-60% เพื่อรับประกันความสบายใจรับผลตอบแทน 5% ใน 1-2 ปีข้างหน้า ส่วนกองกลางมองว่าน่าจะเป็นหุ้นสหรัฐที่มีการเติบโตเรื่อยๆ ซึ่งดัชนี S&P ได้ถูกพิสูจน์มายาวนานเป็น 100 ปีว่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีผลตอบแทน 6-8% ต่อปี ซึ่งจะทำให้พอร์ตเรานิ่งได้ โดยแนะให้จัดพอร์ตหุ้นสหรัฐลงไว้ 30%

ส่วนตลาดหุ้นจีนก็เป็น กองหน้า หุ้นตกมาเยอะ มีความไม่แน่นอนสูง ทั้งเรื่องอสังหาฯและรัฐบาลจีน รวมถึงหุ้นเทคที่ยังไม่มีความแน่นอน ไม่มีใครอยากลงทุน เงินทุนไหลออกมากเป็นหลายแสนล้าน แต่ก็มีโอกาสกลับมา ซึ่งก็อาจมีความเสี่ยงสูงตามมาด้วย โดยอาจเลือกลงทุนในสัดส่วน 10-20%

ใครที่รับความเสี่ยงต่ำก็ลงทุนบอนด์ 50% หุ้นสหรัฐ 30% หุ้นจีน 20% คาดว่าจะได้ผลตอบแทนประมาณ 7%ต่อปี หรือผู้ที่รับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น ก็แนะให้ลงทุนบอนด์ 30% สหรัฐ 30% จีน 20% เวียดนาม 20% มองลงทุนระยะยาว 3-5 ปี หากตลาดหุ้นสามารถกลับมาเร็วก็ได้รีเทิร์นสูงขึ้น ก็อาจได้รับผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี หรือมากกว่า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ต.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top