นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึง
ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 3 ปี 66 (ก.ค.-ก.ย. 66) พบว่า ขยายตัว 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 65 โดยสาขาปศุสัตว์ สาขาประมง และสาขาป่าไม้ ขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการบริหารจัดการฟาร์มที่ดีและความต้องการบริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่สาขาพืช และสาขาบริการทางการเกษตร หดตัวลง เนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง ภาวะฝนทิ้งช่วง และปริมาณฝนน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืชสำคัญหลายชนิด
นอกจากนี้ ราคาปัจจัยการผลิตที่สำคัญทั้งปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง และวัตถุดิบอาหารสัตว์ ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เกษตรกรบางส่วนปรับเปลี่ยนชนิดพืชที่ทำการเพาะปลูกชะลอ หรือลดปริมาณการผลิต ส่งผลให้ภาพรวมของภาคเกษตรขยายตัวได้ไม่มากนัก
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรทั้งปี 66 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 1.5-2.5% เมื่อเทียบกับปี 65 โดยปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้ภาคเกษตรในภาพรวมขยายตัวได้ คือ การดำเนินนโยบายและมาตรการของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือในการบริหารจัดการสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการผลิต สนับสนุนการรวมกลุ่มทำการผลิต การแปรรูป และพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค การเฝ้าระวัง เตือนภัย และบริหารจัดการน้ำทั้งระบบรวมทั้งการเพิ่มช่องทางให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เพื่อการวางแผนและตัดสินใจได้อย่างทันท่วงทีนอกจากนี้การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภคในประเทศ ภาคบริการ และการท่องเที่ยว ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามเฝ้าระวัง ทั้งจากอิทธิพลของลมมรสุมที่ทำให้ฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่ปรากฏการณ์เอลนีโญที่อาจรุนแรงขึ้นในช่วงปลายปี ความแปรปรวนของสภาพอากาศ การระบาดของโรคและแมลง อาจสร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรบางส่วน รวมทั้งต้นทุนการผลิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อการลงทุนและกำลังซื้อของเกษตรกร ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน และการสู้รบในตะวันออกกลาง อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินนโยบายตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิต เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร ทำการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกัน ได้เตรียมพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในอนาคตภายใต้ข้อจำกัดและโอกาสหลายด้าน ซึ่งมีการดำเนินการหลายด้าน อาทิ การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การเตรียมการรองรับสถานการณ์น้ำท่วม ภัยแล้ง และภัยพิบัติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต การรวมกลุ่มและเชื่อมโยงเครือข่ายการผลิตและการตลาด การยกระดับสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพ มีความปลอดภัย ต่อยอดสู่เกษตรมูลค่าสูงและอุตสาหกรรมอนาคต
อัตราการเติบโตของภาคเกษตร
สาขาไตรมาส 3/66 (ก.ค.-ก.ย. 66)
- ภาคเกษตร 0.5%
- พืช -0.5%
- ปศุสัตว์ 4.8%
- ประมง1.5%
- บริการทางการเกษตร -1.0%
- ป่าไม้ 2.0%
นายวินิต อธิสุข รองเลขาธิการ สศก. เปิดเผยรายละเอียดภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 3 ปี 66 ดังนี้
*สาขาพืช หดตัว 0.5%
สินค้าที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่
- ข้าวนาปี ผลผลิตลดลงในทุกภูมิภาค เนื่องจากในช่วงเพาะปลูกเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงและปริมาณฝนในปีนี้น้อยกว่าปีที่ผ่านมา
- ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตลดลง เนื่องจากเกษตรกรบางส่วนลดเนื้อที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงไตรมาส 2 จากต้นทุน
การผลิตที่สูงทั้งค่าปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช และเมล็ดพันธุ์ - มันสำปะหลัง ผลผลิตลดลง เนื่องจากเนื้อที่เก็บเกี่ยวบางส่วนในภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงจากฝน
ที่ตกหนักและอุทกภัยตั้งแต่ช่วงเดือนก.ย. 65 ทำให้เนื้อที่ปลูกมันสำปะหลังในขณะนั้นได้รับเสียหาย ประกอบกับช่วงเพาะปลูกประสบภาวะ
แล้ง ทำให้ต้นมันสำปะหลังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ - สับปะรดโรงงาน ผลผลิตลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนน้อย ทำให้ต้นสับปะรดไม่สมบูรณ์และผลมีขนาดเล็กลง
- ยางพารา ผลผลิตลดลง เนื่องจากแหล่งผลิตที่สำคัญทางภาคใต้ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศร้อนจัด ฝนทิ้งช่วง ประกอบ
กับมีการระบาดของโรคใบร่วง - ปาล์มน้ำมัน ผลผลิตลดลง เนื่องจากต้นปาล์มน้ำมันได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศร้อน และปริมาณน้ำฝนไม่เพียงพอ ทำให้
ทะลายปาล์มไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่ลดลง - ลำไย ผลผลิตลดลง เนื่องจากเกษตรกรในภาคเหนือโค่นต้นลำไยอายุมากที่ให้ผลผลิตต่ำและปรับเปลี่ยนไปปลูกยางพารา
และทุเรียน ประกอบกับในช่วงเดือนธ.ค. 65-ม.ค. 66 อากาศหนาวเย็นไม่เพียงพอ ทำให้ลำไยออกดอกน้อย และในช่วงติดผลเกิดภาวะ
ฝนทิ้งช่วงและสภาพอากาศร้อนจัด ทำให้ผลหลุดร่วง
สินค้าที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ - ข้าวนาปรัง ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วงเพาะปลูกมีน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติเพียงพอ ประกอบกับราคา
ข้าวอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้เกษตรกรขยายเนื้อที่เพาะปลูกในที่นาที่ปล่อยว่าง - ทุเรียน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรภาคใต้ขยายเนื้อที่ปลูกเพิ่มขึ้นแทนยางพาราและผลไม้อื่นๆ และต้นทุเรียนที่ปลูก
ในปี 61 ให้ผลผลิตในปีนี้เป็นปีแรก - มังคุด ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากแหล่งผลิตในภาคใต้มีสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอกติดผลของมังคุด ประกอบกับต้น
มังคุดมีการพักต้นสะสมอาหารและให้ผลน้อยในปีที่ผ่านมา ทำให้ปีนี้ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น - เงาะ ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาจูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาต้นเงาะดี ทำให้ผลผลิตเงาะในภาคใต้ออกสู่ตลาดต่อ
เนื่อง
*สาขาปศุสัตว์ ขยายตัว 4.8%
สินค้าที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
- สุกร ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเฝ้าระวังโรคระบาดของกรมปศุสัตว์อย่างเข้มงวด ประกอบกับการส่งเสริมและฟื้นฟูการ
เลี้ยงสุกรของเกษตรกรรายย่อย ทำให้เกษตรกรมีการปรับตัวและยกระดับการเลี้ยงสุกรให้มีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ รวมถึงราคา
พันธุ์สุกรลดลง ส่งผลให้เกษตรกรมีความเชื่อมั่นในการเลี้ยงสุกรใหม่เพิ่มขึ้น - ไก่เนื้อ ผลผลิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากมีการขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดย
เฉพาะธุรกิจอาหารและการท่องเที่ยว
ส่วนสินค้าที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ - ไข่ไก่ ผลผลิตลดลง เนื่องจากการปลดแม่ไก่ยืนกรงในช่วงที่ผ่านมาตามมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ ให้เหมาะสม
กับความต้องการบริโภคภายในประเทศ ประกอบกับเกษตรกรบางรายเลิกเลี้ยงไก่ไข่จากต้นทุนการผลิตที่สูง โดยเฉพาะต้นทุนอาหารสัตว์ - น้ำนมดิบ ผลผลิตลดลง เนื่องจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมบางส่วนเลิกเลี้ยงหรือปรับลดจำนวนโคในฝูงลง รวมทั้งลดปริมาณ
การให้อาหารเพื่อลดภาระต้นทุนที่สูง
*สาขาประมง ขยายตัว 1.5%
สินค้าที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น คือ
- กุ้งขาวแวนนาไม เนื่องจากมีการจัดการฟาร์มที่ดี กุ้งมีอัตราการรอดเพิ่มขึ้น ประกอบกับเกษตรกรเร่งจับกุ้งเพื่อลดความ
เสียหายจากอากาศร้อนสลับฝนตก ซึ่งกุ้งอาจเกิดการน็อกน้ำได้ ผลผลิตจึงออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น
สินค้าประมงที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ - สัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือ เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการทำประมง
ทะเลยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ผู้ประกอบการประมงออกเรือจับสัตว์น้ำลดลง - ปลานิลและปลาดุก ผลผลิตลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำมีน้อย สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการเลี้ยง ต้นทุนอาหารสัตว์อยู่ใน
ระดับสูง เกษตรกรชะลอการปล่อยลูกพันธุ์ปลาและลดรอบการเลี้ยง
*สาขาป่าไม้ ขยายตัว 2.0%
สินค้าที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น คือ
- ไม้ยางพารา เพิ่มขึ้นตามพื้นที่การตัดโค่นพื้นที่สวนยางพาราเก่า และปลูกทดแทนด้วยยางพาราพันธุ์ดีหรือพืชเศรษฐกิจอื่น
รวมถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดจีน - ถ่านไม้ เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของธุรกิจบริการภายในประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจโรงแรมรวมทั้ง
ความต้องการของตลาดจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่เพิ่มขึ้น - รังนก เพิ่มขึ้นจากความต้องการของตลาดจีนที่มีอย่างต่อเนื่องสำหรับสินค้าป่าไม้ที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่
- ไม้ยูคาลิปตัส ลดลงตามความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อกระดาษ รวมถึงการส่งออก
ไปยังจีนและญี่ปุ่นที่ลดลง - ครั่ง ลดลงเนื่องจากสภาพอากาศแห้งแล้ง ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโต
*สาขาบริการทางการเกษตร หดตัว 1.0%
เนื่องจากปริมาณฝนและน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ น้อยกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ทำให้หลายพื้นที่มีปริมาณน้ำไม่
เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของพืช เกษตรกรบางส่วนจึงงด เลื่อน หรือปรับเปลี่ยนช่วงเวลาในการเพาะปลูก ส่งผลให้กิจกรรมการจ้างบริการเตรียมดินและเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชที่สำคัญลดลง โดยเฉพาะข้าวนาปี มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ต.ค. 66)
Tags: GDP, ฉันทานนท์ วรรณเขจร, เกษตรกรรม, เศรษฐกิจการเกษตร