อิสราเอลถูกกล่าวหาใช้อาวุธฟอสฟอรัสขาวในกาซา-เลบานอน เสี่ยงทำคนบาดเจ็บระยะยาวรุนแรง

ภาพ: รอยเตอร์

ฮิวแมนไรต์วอตช์ (Human Rights Watch) กล่าวหาอิสราเอลว่าใช้อาวุธที่ประกอบด้วยฟอสฟอรัสขาวในการปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซาและเลบานอน โดยระบุว่าการใช้อาวุธดังกล่าวทำให้พลเรือนเสี่ยงต่อการบาดเจ็บระยะยาวและรุนแรง

ทั้งนี้ ฮิวแมนไรต์วอตช์เป็นองค์กรเอกชนระหว่างประเทศซึ่งทำวิจัยและส่งเสริมด้านสิทธิมนุษยชน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์กของสหรัฐ

เมื่อถูกถามความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาดังกล่าว กองทัพอิสราเอลระบุว่า “ขณะนี้ทางกองทัพยังไม่ทราบว่ามีการใช้อาวุธที่ประกอบด้วยฟอสฟอรัสขาวในฉนวนกาซา” ขณะที่ทางกองทัพไม่ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่ว่า มีการใช้อาวุธฟอสฟอรัสขาวในเลบานอน

ฮิวแมนไรต์วอตช์เปิดเผยว่า ได้ทำการตรวจสอบวิดีโอที่ถ่ายในเลบานอนเมื่อวันที่ 10 ต.ค. และในกาซาเมื่อวันที่ 11 ต.ค. ซึ่งแสดงให้เห็นการระเบิดของฟอสฟอรัสขาวที่ถูกยิงด้วยปืนใหญ่หลายครั้งเหนือท่าเรือเมืองกาซาและสถานที่ชนบทสองแห่งตามแนวชายแดนอิสราเอล-เลบานอน

สถานีโทรทัศน์ของปาเลสไตน์ได้ออกอากาศวิดีโอดังกล่าวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นกลุ่มควันสีขาวลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือฉนวนกาซา ซึ่งพวกเขาระบุว่ามีสาเหตุมาจากอาวุธฟอสฟอรัสขาวดังกล่าว

เมื่อปี 2556 กองทัพอิสราเอลระบุว่า ได้ยุติการใช้อาวุธฟอสฟอรัสขาวที่เคยใช้ระหว่างการโจมตีในฉนวนกาซาระหว่างปี 2551-2552 ซึ่งนำไปสู่ข้อกล่าวหาก่ออาชญากรรมสงครามจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ

อาวุธฟอสฟอรัสขาวซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการเผาทำลายที่มั่นของศัตรูนั้น สามารถนำมาใช้ได้อย่างถูกกฎหมายในสนามรบเพื่อสร้างม่านควัน ส่องสว่าง กำหนดเป้าหมาย หรือเผาทำลายบังเกอร์และอาคารต่าง ๆ

เนื่องจากสามารถใช้งานได้ตามกฎหมาย ฟอสฟอรัสขาวจึงไม่ถูกห้ามว่าเป็นอาวุธเคมีภายใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศ แต่อาจทำให้เกิดการเผาไหม้อย่างรุนแรงและทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้

ฟอสฟอรัสขาวถือเป็นอาวุธเพลิงภายใต้ข้อตกลงของอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธธรรมดาบางประเภท ซึ่งห้ามการใช้อาวุธเพลิงในการโจมตีเป้าหมายทางทหารที่อยู่ท่ามกลางพลเรือน แม้ว่าอิสราเอลไม่ได้ลงนามผูกพันตามอนุสัญญาดังกล่าวก็ตาม

ฟอสฟอรัสขาวสามารถก่อให้เกิดการเผาไหม้อย่างรุนแรง โดยสามารถจุดไฟให้ลุกลามและเผาไหม้ได้อย่างรวดเร็ว และยังเป็นไฟชนิดที่ดับได้ยากอีกด้วย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ต.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top