ศาสตราจารย์ ดร.พัดชา อุทิศวรรณกุล หัวหน้าหน่วยวิจัยแฟชั่นและนฤมิตศิลป์ ภาควิชานฤมิตศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาปรัชญา ประจำปี 2566 จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่าประเทศไทยมีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่หลากหลายกระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งล้วนเป็นอัตลักษณ์เฉพาะ เชื่อมโยงวัฒนธรรมกับกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศเพื่อนบ้านได้ น่าเสียดายที่ภูมิปัญญาที่สืบทอดมาอย่างยาวนานเหล่านี้จะสูญไป เพราะขาดการพัฒนาอย่างครบวงจร ขาดการทำตลาด ส่งผลให้การทอผ้าของชุมชนไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดผู้บริโภคในปัจจุบัน จนกลายเป็นปัญหาคลาสสิกที่มักพบได้ในชุมชนที่ยึดอาชีพทอผ้าในประเทศไทย
“นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ลายผ้าทอจากภูมิปัญญาชุมชนคงความเป็นเอกลักษณ์พื้นถิ่นดั้งเดิมมากเกินไป ไม่ถูกพัฒนาตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นคนเมืองรุ่นใหม่ที่มีรสนิยมสากล” ศ.ดร.พัดชา กล่าวโดยยกตัวอย่างเสื้อลายม้ง “ลวดลายของเสื้อลายม้งตอกย้ำสัญญะของชุมชนชาติพันธุ์มากเกินไป ทำให้ดูเป็นของที่ระลึกแบบสินค้า OTOP ไม่ใช่เสื้อผ้าหรือของที่จะใช้ในชีวิตประจำวันปกติได้ การเป็นของที่ระลึกไม่ผิดนะ แต่มันทำให้ตลาดแคบ ซึ่งทุนทางวัฒนธรรมจะอยู่ต่อไปได้ ตลาดต้องกว้างขึ้น ซึ่งหมายความว่าผลิตภัณฑ์ต้องสอดคล้องกับความต้องการของคนร่วมสมัย ใช้ได้ในหลายโอกาส เข้ากับกระแสนิยม และรูปแบบมีความเป็นตะวันตกมากขึ้น”
ศ.ดร.พัดชา กล่าวย้ำ
โดยมาก แนวทางการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนมักเน้นไปที่การผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด หรือดีขึ้นมา ก็จะเพิ่มเรื่องการส่งเสริมการตลาด แต่จะดีที่สุดเมื่อคำนึงถึงการพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมให้ครบวงจรอย่างเป็นระบบและทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนปลายน้ำ โดยเฉพาะกลางน้ำและปลายน้ำ ซึ่ง ศ.ดร.พัดชา กล่าวว่า “เป็นเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้อยู่ในกระแสนิยม และการเปิดตลาดในช่องทางใหม่ ๆ ซึ่งในโครงการนี้ใช้โมเดลการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวสร้างสรรค์ด้วยวัฒนธรรมสิ่งทอ”
ศ.ดร.พัดชา ชูโมเดลการพัฒนาทุนวัฒนธรรมอย่างครบวงจรว่าประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ได้แก่
1. Creative consult โดยร่วมมือกับนักออกแบบมืออาชีพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญา
2. สกัดองค์ความรู้เฉพาะทางของชุมชน
3. แก้ปัญหา พัฒนาผลิตภัณฑ์ตามกลุ่ม (Cluster) โดยพยายามทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถใช้ได้หลากหลายโอกาสมากขึ้น
4. พัฒนานวัตกรรมสิ่งทอจากทุนวัฒนธรรมเฉพาะ Cluster นั้นๆ สร้างเป็นอัตลักษณ์จำเพาะกลุ่ม
5. พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความร่วมสมัย โดยเอารูปแบบเทรนด์ของตะวันตกเข้ามาผสมผสาน ทั้งนี้ โครงการฯ ได้แบ่ง Product line เป็น 3 ระดับ ได้แก่
– ผลิตภัณฑ์หรูหรา (Luxury) เจาะกลุ่มตลาดระดับบน
– ผลิตภัณฑ์ดั้งเดิม (Tradition) เจาะกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ยังชื่นชอบลายผ้าต้นฉบับ
– ผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย (In trend) เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งลายผ้าจะตามกระแสนิยม เรียบง่าย สะท้อนไลฟ์สไตล์มากขึ้น
6. ผลักดันให้เกิดตราสินค้าในแต่ละผลิตภัณฑ์
7. เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย ทั้งแบบหน้าร้านและแบบออนไลน์
ศ.ดร.พัดชา กล่าว “ทางโครงการฯ จึงทดลองนำร่องโมเดลกับ 8 กลุ่มผ้าทอใน จ.น่าน โดยระดมคณาจารย์ นิสิตประจำภาควิชานฤมิตศิลป์ และศิษย์เก่า คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากประสบการณ์ในวงการแฟชั่นที่เคยทำงานทั้งภาครัฐและเอกชน ให้มาร่วมมือกันสร้างอัตลักษณ์ให้กลุ่มผ้าทอทั้ง 8 กลุ่มเป้าหมาย”
“เราเริ่มจากการลงพื้นที่สัมภาษณ์ผู้ประกอบการและหาแนวทางในการพัฒนาอัตลักษณ์ตราสินค้าใหม่ ให้มีความสอดคล้องและสามารถนำไปใช้ต่อยอดในการผลิตสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์คุณภาพร่วมสมัย ภายใต้ตราสินค้าของตนเองได้จริง ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์สิ่งทอ 8 กลุ่ม ได้แก่ …”1. กลุ่มทอผ้าบ้านซาวหลวง ภายใต้ตราสินค้า “Soul Lung” 2. ร้านวราภรณ์ ผ้าทอ อำเภอเวียงสา ภายใต้ตราสินค้า “WORA” 3. ร้านรัตนาพร ผ้าเขียนเทียน อำเภอปัว ภายใต้ตราสินค้า “มนต์คราม” (Mon Karm) 4. ร้านฝ้ายเงิน โดยใช้ชื่อตราสินค้า “FAINGERN” 5. กลุ่มทอผ้าย้อมสีธรรมชาติบ้านปางกอม อำเภอสองแคว ภายใต้ตราสินค้า “Nana Colours” 6. กลุ่มผ้าทอไทลื้อ บ้านเก็ต อำเภอปัว ภายใต้ตราสินค้า “Lifecocoa” 7. ศูนย์ผ้าทอไทลื้อ บ้านดอนมูล อำเภอท่าวังผา ภายใต้ตราสินค้า “ThaiMool” และ 8. มีสเอ โปรดักส์ ภายใต้ตราสินค้า “Sasudee”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ต.ค. 66)
Tags: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผ้าทอ, พัดชา อุทิศวรรณกุล