นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวในระหว่างเป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชุมสัมมนาการมอบนโยบาย และแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยระบุว่า รัฐบาลเตรียมจะออก Sustainability Bond วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท ในปีงบ 67 เพื่อทำให้องค์กรที่เกี่ยวข้องดำเนินนโยบายสร้างความยั่งยืน
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า รัฐบาลเข้ามาบริหารในช่วงที่ประเทศเผชิญกับความท้าทายทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ทั้งปัญหาโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิฟื้นตัวช้า เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากการเมืองระหว่างประเทศ โครงสร้างอุตสาหกรรมที่กระจุกตัวไม่กี่หมวดสินค้า ปัญหาหนี้สินภาคเกษตรที่เรื้อรัง ซึ่งทั้งหมดส่งผลทำให้ประเทศมีปัญหาอยู่ทุกวันนี้
นอกจากนี้ สัดส่วนแรงงานต่อประชากรลดลง และรัฐใช้เงินมากขึ้นในการดูแลประชาชนทุกคน ความเปราะบางที่เกิดจากหนี้สิน หนี้ครัวเรือน ค่าแรงขั้นต่ำไม่เป็นธรรม รวมถึงปัญหายาเสพติด ทำให้เกิดภาระการคลัง ทั้งแง่การลงทุน สวัสดิการ และสาธารณสุข จากความท้าทายทั้งหมด รัฐบาลจะต้องดำเนินนโยบายอย่างจริงจัง
โดยในระยะสั้น รัฐบาลให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูรายได้ ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 67 อัดฉีดเม็ดเงิน 5.6 แสนล้านบาท เข้าไปในระบบ กระตุ้นทั้งอุปสงค์-อุปทาน ด้วยการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ในระยะเวลา 6 เดือนทำให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจ ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ตั้งคณะกรรมการมาดูแล ทั้งการพัฒนาแอปพลิเคชั่น การหาแหล่งเงิน การกำหนดกฏระเบียบ โดยคาดว่าจะสามารถได้ใช้แน่นอนภายใน ก.พ.นี้
ด้านการท่องเที่ยว จะมีการฟื้นฟูจากภายในและนอกประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการยกเว้นวีซ่าชั่วคราวให้กับนักท่องเที่ยวจากจีนและคาซัคสถานไปแล้ว และจะดำเนินการกับประเทศอื่นๆ ต่อไป และจะมีการวางแผนและกำหนดมาตรการอื่นๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น สนับสนุนค่าใช้จ่าย อำนวยความสะดวก หรือมาตรการอื่นๆ ที่เหมาะสม รวมถึงพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว
“ด้วยทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ผมมั่นใจว่า เราจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำไปที่ 400 บาทต่อวันได้เร็วที่สุด เป็นสเตปแรก” นายเศรษฐา กล่าว
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งการลดค่าน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร และในอนาคตหาแนวทางลดค่าพลังงาน ทั้งก๊าซหุงต้มและน้ำมันเบนซิน เพื่อให้เหมาะสมกับค่าครองชีพประชาชน รวมถึงดูแลหนี้สินด้วยการพักหนี้เกษตรกร เกือบ 2.7 แสนราย และดูแลกลุ่มอื่นๆ ต่อลมหายใจกลุ่มที่เดือดร้อน
ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจะมีทำประชามติเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งนโยบายทั้งหมดต้องใช้งบสนับสนุนแต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า สำหรับรัฐต้องวางแผนหาเงินกลับมา และรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ในระยะยาวจะทำให้เศรษฐกิจโตยั่งยืน ครอบคลุม 3 มิติทั้งการสร้างรายได้ ขยายโอกาส และดูแลคุณภาพชีวิตและความมั่นคง โดยในด้านสร้างรายได้ มีการเพิ่มรายได้สุทธิในภาคเกษตร เปิดการค้าระหว่างประเทศ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดการลงทุน ในรัฐบาลนี้นอกจากพักหนี้ จะใช้หลักการตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ในการปรับปรุงพันธุ์ เป้าหมายรัฐบาลนี้ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปี วางแผนบริหารพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ จัดทำองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ ขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ทั้งนี้ รัฐบาลจะให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว ผลักดันให้สตาร์ทอัพเติบโตได้ ขยายเป็นยูนิคอร์นได้ในอนาคต จะช่วยเหลือเอสเอ็มอีอย่างครบวงจร เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ระบบคมนาคม ต้องมีการวางแผนจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ เช่น สนามบิน ต้องมีการวางแผนขยายให้เหมาะสม รองรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ทั้งเมืองหลักและขยายไปในเมืองรอง พัฒนาระบบรางรถไฟ ส่งสินค้าไปเมืองต่างๆ และไปต่างประเทศได้ รวมถึงมีตัวชี้วัดที่เหมาะสมต่อยุทธศาสตร์ประเทศ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน เร่งเจรจา FTA ที่ค้างกับอียู และเปิดตลาดใหม่ ทั้งตะวันออกกลางและแอฟริกา และด้านการทูตจะทำงานเชิงรุก เพื่อให้ทั่วโลกรับรู้ว่า ประเทศไทยเปิดแล้ว และรักษาความเป็นกลางระหว่างขั้วอำนาจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การดำเนินการในหลายมาตรการ จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น สามารถปรับค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือน ภายในปี 2570 ส่วนเรื่องที่ดินทำกินนั้น ต้องทำให้ประชาชนที่ยังไม่มีสิทธิ์ ให้มีฉโนด เอกสารสิทธิ์ครบถ้วน กองทัพพร้อมนำที่ดินมาจัดสรร สร้างรายได้ให้กับประชาชน
ด้านการศึกษา ไทยต้องเป็นสังคมเรียนรู้ตลอดชีวิต รักการอ่าน ทำหลักสูตรให้ทันสมัย ลดปริมาณงาน ในภาคการศึกษา และมีการตั้งคณะกรรมซอฟเพาเวอร์ รวมถึงส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวระยะยาว ทำให้ไทยเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรอง มีนโยบายทำให้โลว์ซีซั่นหมดไปจากประเทศไทย เช่น ใช้ประโยชน์จากเทศกาลต่างๆ สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
เรื่องความมั่นคงและคุณภาพชีวิต ทั้งรูปแบบภัยคุมคามและวางแผนรับมือให้เหมาะสม มีการบริหารจัดการกำลังพลให้เหมาะสมกับยุคสมัย ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจ รัฐบาลนี้จะจัดการยาเสพติดให้หมด จัดการผู้มีอิทธิพล ป้องกันการแทรกแซงการบริหารราชการ เช่น ตั้งรางวัลคนให้เบาะแส เป็นต้น
สำหรับเรื่องภัยธรรมชาติ เตรียมรับมือเอลนีโญ เพิ่มพื้นที่ชลประทาน 40 ล้านไร่ เราแผนบริหารจัดการน้ำอย่างครบวงจร การใช้น้ำให้เกิดประโยชน์ ทำให้น้ำไม่ท่วม ไม่แล้ง ในฤดูต่างๆ เดินหน้าแก้ไขฝุ่น PM2.5 และรัฐบาลเตรียมออก Sustainability Bond วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท ในปีงบ 67 เพื่อทำให้องค์กรที่เกี่ยวข้องดำเนินนโยบายสร้างความยั่งยืน
สำหรับเรื่องสวัสดิการและสาธารณสุข ต้องพัฒนาให้ดีขึ้น นำระบบดิจิทัลมาใช้ เพื่อให้มีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีคุณภาพระดับโลก ลงทุนทำระบบเชื่อมต่อฐานข้อมูลคนไข้ทั่วประเทศ
“เป้าหมายของผม ชัดเจนด้านเศรษฐกิจ คือ การทำให้ GDP ของประเทศโตเฉลี่ย 5% ตลอด 4 ปีนี้ และทำให้รายได้ขั้นต่ำให้ถึง 600 บาทในปี 2570 เป็นจุดเริ่มต้นของแผนการมุ่งหน้าสู่การเป็นประเทศรายได้สูง อย่าลืมว่ารัฐจะเก็บภาษีมาลงทุนต่อยอดให้ทุกคนได้ ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนมีคุณภาพที่ดี” นายเศรษฐา กล่าว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2567 การใช้จ่ายภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และแผนต่าง ๆ ให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด รัฐบาลจะมีเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นวงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท
นายกฯ ระบุว่า ตั้งใจที่จะบริหารจัดการการคลังด้วยความรอบคอบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และรักษาวินัยและเสถียรภาพทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ในการวางแผนใช้จ่ายงบประมาณปี 67 โดยวางกรอบความสำคัญ 5 ข้อต่อไปนี้
1.ขอให้จัดทำงบและเบิกจ่ายงบประมาณตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อสภาไป และคำนึงถึงกรอบกฎหมายและวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ขอให้ทุก ๆ หน่วยงานพิจารณาดูว่าอะไรที่ทำได้ก็ขอให้ดำเนินการทำไปก่อน แต่อย่าลืมเรื่องความถูกต้องตามกระบวนการ
2.ขอให้ทุกหน่วยงานทำงานกันอย่างบูรณาการ วางแผนงบประมาณไม่ให้ซ้ำซ้อนกันหลาย ๆ โครงการในอดีตที่เคยทับซ้อนกัน ขออย่าให้เกิดภาพแบบนั้นอีกภายในรัฐบาลนี้
3.ขอให้วางแผนและจัดทำงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ (Efficiency) และมีประสิทธิผล (Productivity) คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของรัฐ และคำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง การทำแผนงานหรือโครงการ ขอให้ทำตามความจำเป็นเร่งด่วน และสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน คำนึงถึงวินัยการเงินการคลังด้วย นโยบาย แผนงานใดที่ทำได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณ ก็เริ่มดำเนินการได้เลย
โครงการเหล่านี้ ตนถือว่าจะมีผลตอบแทนที่คุ้มค่า เพราะไม่ต้องใช้งบลงทุนสักบาท และขอให้ทำงบแบบฐานศูนย์ หรือ Zero-based โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุนที่จะต้องมีรายละเอียดให้ชัดเจน และตนขอให้ทุกหน่วยงานนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิผล และเพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน ทำให้ประชาชนเห็นว่าเงินภาษีของพวกเขา ถูกใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าทุกบาท ทุกสตางค์
4.โครงการ แผนงาน ต่าง ๆ จะต้องมีตัวชี้วัด (KPI) หรือมีเป้าหมาย ที่ก่อให้เกิดผลดีกับพี่น้องประชาชน หรือเกิดผลเชิงบวกทางเศรษฐกิจ
“ผมไม่สนับสนุนการทำงานที่ไม่ก่อให้เกิดผลให้ประเทศ ประชาชน เพราะจะเป็นการนำภาษีประชาชนไปละลายแม่น้ำเสียเปล่า ๆ ไม่สนับสนุนการนำงบประมาณไปทำอะไรที่ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุดประสงค์ที่จับต้องได้ ไม่มีความชัดเจน ฉะนั้น ขอให้พิจารณาลดแผนงานหรือโครงการต่าง ๆ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป หรือถ้าเป็นไปได้ก็ยกเลิกแผนงานหรือโครงการ ที่ไม่มีความชัดเจนไปเสีย เพื่อให้การใช้งบประมาณอย่างตรงเป้าหมาย และประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ นำงบประมาณไปใช้ทำโครงการอื่นที่เกิดผลเชิงบวกต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว
5.ขอให้จัดทำแผนการใช้จ่ายโดยพิจารณาให้ครบทุกแหล่งเงินทุน (Source of funding) ทั้งเงินนอกงบประมาณ และเงินงบประมาณ หลาย ๆ หน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณ เช่น รายได้ เงินสะสม ขอให้นำมาใช้ดำเนินภารกิจก่อน และขอให้ช่วยกันลดภาระงบประมาณประเทศ โดยพิจารณาการใช้เงินแหล่งอื่น ๆ เช่น การร่วมมือกับภาคเอกชน หรือเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกคนที่อยู่ที่นี้ล้วนเป็นตัวแทนจากภาครัฐทั้งหมด เราทุกคนมีส่วนร่วมที่จะต้องช่วยกันดูแลสถานะ ความมั่นคง ของการเงินการคลังในระยะยาว ถึงแม้งบประมาณปี 67 จะล่าช้า แต่ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการเบิกจ่าย โดยอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย มีความระมัดระวัง อย่าให้เศรษฐกิจสะดุด
โดยขอให้จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ 6 ตุลาคม 2566 ที่จะถึงนี้ และขอให้ทุกหน่วยราชการวางแผนงบประมาณให้มีสิทธิภาพ เพื่อจะได้ใช้ภาษีของประชาชนทุกบาท ทุกสตางค์ อย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์ต่อคนไทยทุกคน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ต.ค. 66)
Tags: Sustainability Bond, เศรษฐกิจไทย, เศรษฐา ทวีสิน