นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงการสอบสวนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (กก.) กรณีรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.มาตรา 151 เนื่องจากมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (6) เพราะเหตุมีชื่อถือครองหุ้น บมจ.ไอทีวี (ITV) จำนวน 42,000 หุ้นว่า ขณะนี้กระบวนการพิจารณายังไม่แล้วเสร็จ และขณะนี้เรื่องมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ต้องรอพิจารณาว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาอย่างไร
โดยเฉพาะจะต้องดูที่เจตนา หากไม่มีเจตนาก็ไม่มีความผิด จะต้องพิสูจน์เจตนา เนื่องจากเป็นคดีอาญา คำร้องอยู่ในกระบวนการสืบสวนอยู่ หากเข้าข่ายการให้คุณให้โทษจะต้องมีการเชิญมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา แตกต่างจากเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคลและปรากฏในเอกสารราชการอยู่แล้ว โดยกระบวนการทั้งหมดอยู่ระหว่างพิจารณา
“เรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เมื่อ กกต.พิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามกฏหมายมีอยู่ 3 ลักษณะที่จะทำให้พ้นจากตำแหน่งกรณีการถือหุ้นสื่อ โดย 2 ลักษณะแรกมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเป็นแนวทางแล้ว ขณะที่กรณีนี้มีข้อเท็จจริงอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีความแตกต่างกัน กกต.ไม่ใช่คนตัดสิน เพราะผู้ที่ตัดสินคือศาลรัฐธรรมนูญ” นายแสวง กล่าว
ส่วนการร้องยุบพรรคก้าวไกล กรณีนโยบายหาเสียงที่เสนอแก้ไขมาตรา 112 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งสำนักงาน กกต.โดยตนในฐานะนายทะเบียนที่กำกับดูแลพรรคการเมืองก็ได้มอบหมายให้ไปตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมด้วย
สำหรับความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องยุบพรรคการเมืองนั้น ขณะนี้ได้พิจารณาเสร็จสิ้นไปแล้ว 111 เรื่อง จากคำร้องทั้งหมดจำนวน 135 เรื่อง คงเหลืออีก 24 เรื่อง ประมาณ 10 พรรคการเมือง ส่วนใหญ่เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ส.ค. 66)
Tags: กกต., พรรคการเมือง, พรรคก้าวไกล, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ศาลรัฐธรรมนูญ, หุ้นไอทีวี, เลือกตั้ง, แสวง บุญมี