BANPU บรรลุข้อตกลงรัฐลุยเซียนาเดินหน้าโครงการ 3 กักเก็บคาร์บอน High West ต่อยอดสู่ Net Zero

บมจ.บ้านปู (BANPU) เดินหน้าโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ในสหรัฐอเมริกาโครงการใหม่หลังจากที่ได้เริ่มโครงการ “Barnett Zero” และโครงการ “Cotton Cove” ไปแล้ว โดยล่าสุด ได้บรรลุข้อตกลงกับรัฐลุยเซียนาในโครงการกักเก็บคาร์บอน “High West” ซึ่งจะหนุนให้ธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบ้านปูในสหรัฐฯ สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในอนาคต

โครงการ Barnett Zero ซึ่งเป็นโครงการ CCUS แรกของบ้านปู ได้เริ่มดำเนินการและประกาศการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision หรือ FID) ในปี 65 ทำให้บ้านปูกลายเป็นบริษัทสัญชาติไทยรายแรกที่ประกาศ FID ในโครงการ CCUS ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาในเดือน ก.ค.65 บ้านปูได้เริ่มการขุดเจาะหลุมกักเก็บก๊าซของโครงการ Barnett Zero โดยตั้งเป้าเริ่มกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ และคาดว่า Barnett Zero จะเป็นหนึ่งในโครงการ CCUS เชิงพาณิชย์ถาวรโครงการแรก ๆ ในสหรัฐฯ สำหรับขั้นตอนการทำงาน โครงการฯ นี้จะแยกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากกระบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติจากระบบท่อขนส่งก๊าซที่ดำเนินงานโดยบริษัท EnLink

โครงการ Cotton Cove ซึ่งเป็นโครงการ CCUS ลำดับที่สองของบ้านปู ได้ประกาศการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายเป็นการภายใน (internal FID) เมื่อเดือน ต.ค.65 โดยโครงการฯ นี้จะช่วยแยก กำจัด และกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นผลพลอยได้ (byproduct) จากการผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ รวมไปถึงสินทรัพย์กลางน้ำของของบริษัทฯ โครงการ Cotton Cove มีเป้าหมายที่จะเริ่มดำเนินการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ภายในสิ้นปี 2567 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการได้รับใบอนุญาตที่จำเป็นทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย

โครงการ Barnett Zero มีมูลค่าการลงทุนทั้งหมดราว 29-34 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่มูลค่าการลงทุนในโครงการ Cotton Cove อยู่ที่ราว 14-24 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแต่ละโครงการมีอัตราการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 210,000 และ 80,000 เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปีตามลำดับ

สำหรับโครงการ High West ซึ่งเป็นโครงการ CCUS ลำดับที่สามของบ้านปู บริษัทฯ จะพัฒนาโครงสร้างและระบบต่าง ๆ เพื่อกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถาวรจากแหล่งอุตสาหกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง โครงการทั้งสามแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ของกลุ่มบ้านปูในการริเริ่มโครงการเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกไซด์ ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG และจุดยืนในการส่งมอบ “อนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน” (Smarter Energy for Sustainability)

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU กล่าวว่า จากกลยุทธ์ Greener & Smarter ของบ้านปู โครงการ CCUS ถือเป็นก้าวย่างสำคัญของเราในภารกิจลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โครงการเหล่านี้นอกจากจะเป็นสิ่งใหม่ที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งในห่วงโซ่คุณค่าของบ้านปูในสหรัฐฯ แล้ว ยังช่วยให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการดำเนินธุรกิจเพื่อลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นโอกาสสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตในอนาคตอีกด้วย นอกจากนี้ เรามุ่งหวังว่าโครงการเหล่านี้ จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายของเรา ทั้งในเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและการส่งเสริมความยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมพลังงาน

นายฐิติ เมฆวิชัย ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ BANPU กล่าวว่า ธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบ้านปู เราตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) สำหรับ scope 1 และ 2 ราวปี ค.ศ. 2025 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) สำหรับการปล่อยมลสารจากธุรกิจต้นน้ำ scope 3 ภายในทศวรรษ 2030 โครงการ CCUS จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้บ้านปูบรรลุเป้าหมายนี้และสร้างทั้งมูลค่าเพิ่มและการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับธุรกิจในสหรัฐฯ

“จากการที่เราวางแผนว่าจะบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากธุรกิจต้นน้ำให้ได้ 15-16 ล้านเมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปีภายในทศวรรษ 2030 เราจึงมองหาโอกาสในการทำโครงการ CCUS ใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีโครงการ CCUS หลายโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งคิดเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 30 ล้านเมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี” นายฐิติ กล่าว

ด้วยระบบนิเวศทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของ BANPU ในสหรัฐฯ บริษัทมีการดำเนินธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ปัจจุบัน BANPU มีธุรกิจแหล่งก๊าซธรรมชาติที่เปิดดำเนินการอยู่ 2 แหล่ง และเป็น 1 ใน 20 ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังได้เข้าซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 2 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้า Temple I และ Temple II และดำเนินธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้า (Retail Electricity) บริษัทยังคงแสวงหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์ Greener & Smarter โดยยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ด้วยความมุ่งหวังที่จะตอบสนองความต้องการด้านพลังงานแห่งอนาคตและส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้คน (Better Living for All)

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ส.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top