ราคาหุ้นกลุ่ม JMART ปรับตัวพุ่งขึ้นยกกลุ่ม นำโดย JMART บวก 9.88% มาอยู่ที่ 17.80 บาท เพิ่มขึ้น 1.60 บาท มูลค่าซื้อขาย 525.53 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.15 น. โดยเปิดตลาดที่ 16.80 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 18.20 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 16.20 บาท
JMT บวก 4.38% มาอยู่ที่ 41.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 318.28 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.16 น. โดยเปิดตลาดที่ 40.50 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 41.75 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 40.25 บาท
SINGER บวก 13.42% มาอยู่ที่ 8.45 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท มูลค่าซื้อขาย 204.21 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.16 น. โดยเปิดตลาดที่ 7.20 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 8.65 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 7.20 บาท
SGC บวก 5.11% มาอยู่ที่ 1.44 บาท เพิ่มขึ้น 0.07 บาท มูลค่าซื้อขาย 20.99 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.16 น. โดยเปิดตลาดที่ 1.32 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1.47 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 1.32 บาท
J บวก 1.67% มาอยู่ที่ 2.44 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท มูลค่าซื้อขาย 522.16 แสนบาท เมื่อเวลา 10.16 น. โดยเปิดตลาดที่ 2.40 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 2.44 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 2.40 บาท
PRTR บวก 2.52% มาอยู่ที่ 6.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท มูลค่าซื้อขาย 489.49 แสนบาท เมื่อเวลา 10.16 น. โดยเปิดตลาดที่ 5.95 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 6.15 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 5.95 บาท
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART กล่าวว่า ในช่วงครึ่งหลัง 66 บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างผลการดำเนินงานกลับมามีผลกำไรสุทธิ จากในไตรมาส 2/66 ที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองฯของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด จากบริษัทร่วม ซิงเกอร์ ประเทศไทย ซึ่งบริษัทคาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 2/66
โดยบริษัทคาดว่าในไตรมาส 3/66 และไตรมาส 4/66 สถานการณ์ของบมจ.ซิงเกอร์ ประเทศไทย (SINGER) จะกลับสู่สภาวะที่ใกล้เคียงกับสภาวะปกติ โดยธุรกิจในส่วนอื่นๆของกลุ่มบริษัทยังคงมีทิศทางในการเติบโตของธุรกิจได้ตามแผน โดยมีปัจจัยสำคัญจากธุรกิจติดตามหนี้ด้อยคุณภาพ ภายใต้การดำเนินงานของบมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ยังคงเป็นฐานกำไรสำคัญหลักของกลุ่ม ซึ่งมีแนวโน้มในการเติบโตที่ดีและมีโอกาสในการมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นจากหนี้ด้อยคุณภาพที่เพิ่งได้ลงทุนมาในไตรมาส 2/66 อีกทั้งยังมีการเติบโตของส่วนแบ่งกำไรในบริษัทกิจการร่วมค้าที่มีโอกาสในการเติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคต
ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การดำเนินงานของบมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) เตรียมเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ JAS Green Village คู้บอน ที่จะเปิดภายในไตรมาส 3/66 จึงเป็นโอกาสในการสร้างฐานรายได้ใหม่ที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ และอนาคต
ธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ได้เข้าสู่ช่วง High Season ในการดำเนินการ เนื่องจากมีมือถือรุ่นใหม่ๆที่จะทยอยเปิดตัวตั้งแต่ไตรมาส 3/66 เป็นต้นไป ทั้งในส่วนของแบรนด์ Samsung และ iPhone ซึ่งเป็นพอร์ตสินค้าหลักของ เจมาร์ท โมบาย
ธุรกิจที่บริษัทได้เข้าลงทุนคือ บีเอ็นเอ็น เรสตัวรองท์ หรือ Suki Teenoi มีโอกาสที่ผลประกอบการจะเติบโตขึ้น จากการขยายสาขาไปในต่างจังหวัดตามแผนธุรกิจ
“ผมยังคงมีมุมมองในเชิงบวกในด้านผลประกอบการในอนาคต ซึ่งธุรกิจในส่วนแกนหลักของบริษัทยังคงมีโอกาสเติบโตตามสภาพเศรษฐกิจที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต” นายอดิศักดิ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ส.ค. 66)
Tags: JMART, หุ้นไทย, เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์