หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์ เกาะติดการเมืองในปท.-ลุ้นกนง.เคาะดอกเบี้ย

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งไซด์เวย์รอปัจจัยการเมืองในประเทศชัดเจน และยังไร้ปัจจัยใหม่ แต่อาจมีแรงหนุนหุ้นงบฯไตรมาส 2/66 ดีช่วยหนุน ประกอบกับแรงหนุนหุ้นพลังงาน จากราคาน้ำมันปรับขึ้น และวันนี้มีประชุมกนง.คาดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด พร้อมให้ให้แนวต้าน 1,565 จุด แนวรับ 1,545 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าแกว่งไซด์เวย์ รอความชัดเจนของปัจจัยการเมืองในประเทศในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะการโหวตนายกรัฐมนตรี ขณะที่ยังไร้ปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน แต่อาจจะมีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นที่งบฯไตรมาส 2/66 ออกมาดีเข้ามาช่วยหนุนดัชนีได้ในช่วงทยอยประกาศผลการดำเนินงาน

อย่างไรก็ตามมองว่าทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับเพิ่มขึ้น และในวันนี้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเมือง (กนง.) ซึ่งตลาดคาดขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เปิดมาส่วนใหญ่ปรับตัวลง โดยให้แนวต้าน 1,565 จุด แนวรับ 1,545 จุด

 

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

 

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (1 ส.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,630.68 จุด เพิ่มขึ้น 71.15 จุด หรือ +0.20%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,576.73 จุด ลดลง 12.23 จุด หรือ -0.27% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,283.91 จุด ลดลง 62.11 จุด หรือ -0.43%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดภาคเช้าที่ระดับ 19,902.77 จุด ลดลง 108.35 จุด หรือ -0.54% ขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดภาคเช้าที่ระดับ 3,281.86 จุด ลดลง 9.09 จุด หรือ -0.28% และดัชนีนิกเกอิเปิดตลาดที่ระดับ 33,123.12 จุด ลดลง 353.46 จุด หรือ -1.06%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (31 ก.ค.66) 1,556.06 จุด เพิ่มขึ้น 12.79 จุด (+0.83%) มูลค่าซื้อขาย 56,268.58 ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 167.30 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ก.ค.66

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย. ลดลง 43 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 81.37 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (1 ส.ค.) อยู่ที่ 10.41 เหรียญ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 34.35 อ่อนค่าจากเย็นวันจันทร์ ตลาดจับตาสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยจากกนง.วันนี้.

– “ธปท.” คาด ภาพรวมสินเชื่อครึ่งปีหลังขยายตัว ต่อเนื่องจากภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวแต่ยังมีความเปราะบาง ต้องติดตามคุณภาพหนี้ “เอสเอ็มอี-ครัวเรือน” ใกล้ชิด “กรุงไทย” ชี้ แม้สินเชื่อ ยังเติบโต แต่อาจชะลอลง หากเทียบกับที่ผ่านมา หลังภาคส่งออกวูบ

– “ศรีสุวรรณ” จี้ กทม. ต้องออกคำสั่งห้ามใช้อาคาร “แอชตัน อโศก” ตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัดโดยเร็ว ชี้แม้จะมีทางออก ให้หาทางเข้า-ออกใหม่ให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ถ้าทำไม่ได้ ต้องสั่งรื้อถอน อย่าทำตัวเป็นพ่อพระ เหตุมี ป.ป.ช. และศาลอาญาคดีทุจริตฯ คอยตรวจสอบอยู่ “ชัชชาติ” เผยในใบอนุญาตระบุเงื่อนไขให้เจ้าของรับผิดชอบทางเข้า-ออก หากเกิดปัญหาในอนาคต นัดแถลงข่าวเคลียร์อีกครั้ง 3 ส.ค.นี้ “อนันดา” แย้มมีหลายทางแก้ปัญหา แต่ขออุบไว้ก่อน

– “ภัยแล้ง” ป่วนตลาดโลกหนัก หลายประเทศเผชิญภาวะผลผลิตตกต่ำจนต้องระงับการส่งออก ล่าสุด “อินเดีย” งดส่งออกข้าวแล้ว ด้าน “ซีไอเอ็มบีไทย” ห่วงกระทบกลุ่มคนรายได้น้อย ขณะ “อีไอซี” หวั่นทำเงินเฟ้อหนืดตัว ขยับลงยาก ด้าน “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” กังวลหากสถานการณ์ลากยาว ยิ่งทำราคาสินค้าพุ่ง

 

หุ้นเด่นวันนี้

 

– SCB (กรุงศรี) แนะนำ ซื้อ เป้า IAA Consensus 130 บาท คาดหวังวันนี้แบงก์ชาติจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารจาก NIM ที่เพิ่มขึ้น เราเลือก SCB เป็น Top pick เนื่องจากราคายัง Laggard หากเทียบกับ BBL KTB

– KBANK (ดาโอ) แนะนำเก็งกำไร เป้าเชิงกลยุทธ์ 128 บาท ลงมาจนน่าเก็งกำไร หลังจากที่ส่งงบ และเกิดแรงเทขายหุ้นจนราคาปรับตัวลงมามาก เรามองเป็นจังหวะในการซื้อเพื่อเก็งกำไรช่วงสั้น ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ Price / Book value เพียง 0.60x (- 1.50SD below 10-yr average PBV) ถูกกว่ากลุ่มที่ 0.70x คาดการณ์ กำไรสุทธิปี 66 อยู่ที่ 3.87 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +8% YoY และ วันนี้ KBANK จะมีการแถลงในเรื่องการตั้งบริษัทใหม่ ชื่อ “Kasikorn Investure”

– BBL (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 197 บาท ยังชอบ BBL คาดได้ประโยชน์สูงสุดจากคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของกนง.วันนี้ ขณะที่การลดดอกเบี้ยเงินฝากในเดือน มิ.ย. คาดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุน NIM ให้กว้างขึ้น แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/66 คาดแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม ปัจจุบันเราคาดกำไรปี 66 ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท +29% y-y และยังเทรด PBV ต่ำเพียง 0.6 เท่า มองจังหวะย่อตัวเป็นโอกาสในการซื้อลงทุน แนวรับ 166.50-164.50 บาท แนวต้าน 175-180 บาท

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ส.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top