กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ภาวะตื่นตระหนกด้านราคาพลังงานจากผลพวงของสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนและปัญหาอุปทานแรงงานจากผลพวงของโรคโควิด-19 ระบาด ได้บั่นทอนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอังกฤษ โดยคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อังกฤษจะขยายตัวเพียง 0.4% ในปี 2566 และขยายตัว 1% ในปี 2567
IMF ระบุว่า เงินเฟ้อในอังกฤษยังคงสูงและยืดเยื้อเป็นเวลานานท่ามกลางตลาดแรงงานที่ตึงตัว แต่คาดว่าราคาพลังงานที่ลดลงเมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงนโยบายการเงินและการคลังที่เข้มงวดขึ้น จะช่วยให้เงินเฟ้อทั่วไปลดลงสู่ประมาณ 5.25% ภายในสิ้นปี 2566 และลดลงสู่เป้าหมาย 2% ภายในช่วงกลางปี 2568
รายงานระบุว่า อังกฤษยังจำเป็นต้องรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ที่ระดับสูงต่อไปในชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อตรึงระดับคาดการณ์เงินเฟ้อเอาไว้และการใช้นโยบายการคลังเข้าช่วยในระยะใกล้จะผ่อนคลายแรงกดดันด้านอุปสงค์โดยรวม
ในระยะกลาง รัฐบาลอังกฤษต้องใช้นโยบายการคลังกระตุ้นการใช้จ่ายจำเป็น เพื่อรักษาบริการสาธารณะให้มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพและการศึกษา รวมถึงการลงทุนสาธารณะ เพื่อยกระดับศักยภาพการเติบโตและเร่งความเร็วในการเปลี่ยนถ่ายไปสู่กระบวนทัศน์ใหม่ที่มีความยั่งยืน (Green transition)
นอกจากนี้ IMF ระบุว่า ระบบธนาคารอังกฤษยังคงแข็งแกร่ง แต่ยังคงต้องระมัดระวังต่อความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากตลาดการจำนอง โดยจำเป็นต้องควบคุมดูแลธนาคารทั้งใหญ่และเล็กอย่างเข้มงวดต่อไป ขณะที่การปฏิรูปด้านกฎระเบียบจะช่วยปกป้องเสถียรภาพทางการเงิน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.ค. 66)
Tags: IMF, กองทุนการเงินระหว่างประเทศ, ยูเครน, รัสเซีย, สงคราม, อังกฤษ, เศรษฐกิจอังกฤษ