นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้องไว้พิจารณา ประเด็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ครอบครองหุ้นสื่อ และสั่งให้นายพิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. แล้วนั้น นายพิธา ต้องออกจากห้องประชุมรัฐสภา
เมื่อนายพิธา ถือเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้าม โดยศาลรัฐธรรมนูญให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ดังนั้นการเสนอชื่อบุคคลใดที่มิได้เป็นไปตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อบุคคลนั้น ซึ่งเป็นผลจากรัฐธรรมนูญที่ไม่สามารถดำเนินขั้นตอนในรัฐสภาได้เลย
ส่วนการเสนอชื่อนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ขอเตือนด้วยความหวังดีว่า สมาชิกรัฐสภาที่เสียบบัตรเพื่อจะโหวตให้นายพิธา มีความเสี่ยงผิดกฎหมาย ซึ่งตนจะส่งชื่อทั้งหมดยื่นคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อย่างแน่นอน เพราะถือเป็นการจงใจใช้อำนาจขัดต่อหน้าที่หรือไม่
“ผมขอเตือนสมาชิกรัฐสภา ที่หากใช้สิทธิโหวตสนับสนุนนายพิธาให้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่เป็นบุคคลลักษณะต้องห้ามแล้ว อาจเป็นการจงใจฝ่าฝืนจริยธรมอย่างร้ายแรง ซึ่งตนจะจับตามองและนำเรื่องฟ้องต่อป.ป.ช.ต่อไปด้วย” นายเรืองไกร กล่าว
นายเรืองไกร มองว่า วันนี้ชื่อของนายพิธา ก็ต้องตกไป ไม่สามารถเสนอชื่อให้รัฐสภาโหวตได้ โดยนายพิธา ควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการไปต่อสู้คดี มากกว่าการแถลงขอโอกาสอีกครั้ง และเห็นควรเสนอชื่อแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย จำนวน 3 รายชื่อให้รัฐสภาโหวตมากกว่า
ส่วนกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง รับคดีฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ไม่ตรวจสอบคุณสมบัติ สส.ก่อนเลือกตั้ง นายเรืองไกร มองว่ายื่นฟ้องผิดศาล ต้องไปยื่นต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมากกว่า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ก.ค. 66)
Tags: พรรคพลังประชารัฐ, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ศาลรัฐธรรมนูญ, หุ้นสื่อ, เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ, โหวตนายก