นายอีไล เรโมโลนา ผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ส่งสัญญาณว่า การใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินต่อไปนั้นยังคงเป็นสิ่งจำเป็นต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และกล่าวว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
นายเรโมโลนาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า BSP จะใช้นโยบายการเงินที่คุมเข้มมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะจับตาความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น เช่น ค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญที่มีต่ออุปทานอาหาร และการอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วของค่าเงินเปโซ ซึ่งอาจทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น
“สำหรับตอนนี้ เรากำลังพิจารณาในประเด็นที่ว่าควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ แต่เราไม่ได้คิดถึงประเด็นที่ว่าควรจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่” นายโรโมโลนากล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์ครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ BSP ในเดือนนี้
นายเรโมโลนา วัย 70 ปีซึ่งเคยทำงานในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIF) และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กนั้น กล่าวว่า เงินเฟ้อของฟิลิปปินส์จำเป็นต้องลดลงสู่กรอบเป้าหมายของ BSP ที่ระดับ 2% – 4% ในขณะเดียวกัน BSP ต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าต้นทุนการกู้ยืมที่อยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 16 ปีนั้น จะไม่ฉุดให้เศรษฐกิจฟิลิปปินส์เข้าสู่ภาวะถดถอย
นายเฟลิเป เมดัลลา ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ BSP ก่อนหน้านายเรโมโลนา นั้น ได้ดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเร็วที่สุดตั้งแต่ปี 2551 และป้องกันไม่ให้ค่าเงินเปโซร่วงลงต่ำมากเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ นายเรโมโลนากล่าวว่า ข่าวดีก็คือ เงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ได้ชะลอตัวลงในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา และกำลังกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในไตรมาสหน้า ส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกยังคงสูงกว่า 6% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่เร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศที่ใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินน้อยกว่าฟิลิปปินส์ โดยคาดว่าเงินเฟ้ออาจลดลงต่ำกว่าระดับ 2% ภายในปี 2567
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.ค. 66)
Tags: BSP, ธนาคารกลางฟิลิปปินส์, ฟิลิปปินส์, อัตราดอกเบี้ย, อีไล เรโมโลนา