บล.พาย ให้กรอบ SET สัปดาห์นี้ 1,500-1,540 จุด เกาะติดโหวตนายกฯพลิกเกม-งบ บจ.Q2/66

บล.พาย ประเมิน SET สัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,500-1,540 จุด โดยปัจจัยในประเทศยังคงสำคัญต่อเนื่องทั้งผลประกอบการไตรมาส 2/66 และการเมืองในประเทศ

สำหรับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/66 ประเมินกลุ่ม Bank กำไรทั้งกลุ่มอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท (+1.3%QoQ +16,5%YoY) เป็นระดับสูงสุดในรอบ 19 ไตรมาส ได้แรงหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) จากการขยายตัวของสินเชื่อและส่วนต่างดอกเบี้ยที่ดีขึ้น (NIM) ตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

หุ้นที่คาดว่าจะมีกำไรขยายตัวเด่นสุดได้แก่ BBL +3%QoQ +50%YoY นอกจากนี้ยังเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีกำไรก่อนการตั้งสำรองขยายตัวเด่นสุด (+25%YoY) โดยการขยายตัวเด่นของ BBL ได้แรงหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ดีขึ้นกับสำรองหนี้ที่ลดลง พร้อมเลือกหุ้นเด่นในกลุ่ม Bank ได้แก่ BBL KTB

สำหรับปัจจัยการเมืองหลังผ่านพ้นการเลือกนายกฯใน วันที่ 13 ก.ค. จะเข้าสู่กระบวนการเลือกรอบ 2 ในวันที่ 19 ก.ค. ซึ่งเราเชื่อว่าหากยังเสนอนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ประเมินเช่นเดิมว่าจะไม่ผ่านการโหวดจาก ส.ว. แต่ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมานายพิธาได้โพสต์ FB ระบุว่าหากพรรคก้าวไกลไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ก็พร้อมเปิดโอกาสให้พรรคอันดับสองอย่างพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และ ส.ส. พรรคก้าวไกลทุกคนก็พร้อมสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ดังนั้นยิ่งเพิ่มความน่าจะเป็นที่พรรคเพื่อไทยจะขึ้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ทั้งนี้ หากพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นตัวหลักในการจัดตั้งรัฐบาล เชื่อว่าตลาดทุนมีโอกาสตอบรับเชิงบวกจากการผ่อนคลาย นโยบายของพรรคก้าวไกลพร้อมมองกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM GPSC GULF) จะดู มีความน่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตามอาจต้องระมัดระวังการชุมนุมประท้วงที่อาจเกิดขึ้นจากการไม่พอใจของประชาชนบางกลุ่มที่ผิดหวังกับผลโหวดนายกรัฐมนตรี แต่หากเกิดขึ้นก็มองเป็นเพียงแรงกดดันระยะสั้น

ส่วนปัจจัยต่างประเทศติดตามยอดค้าปลีกของสหรัฐฯในวันอังคาร Bloomberg ประเมินไว้ที่ 0.5%MoM ขณะที่ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดบวก 0.3% ได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน หลังจาก United Health เปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ลดลง 1.8% จากแรงทำกำไร

เชิงกลยุทธ์การลงทุน Trading เลือกกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) โรงไฟฟ้า (BGRIM GPSC GULF) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL ERW MINT SPA) ศูนย์การค้า (CPN) ขนส่ง (BEM)

BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 190.00 บาท) คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ที่ 1.04 หมื่นล้านบาท (+50% YoY, +3% QoQ) แม้รายได้ค่าธรรมเนียมจะเบาบางและคาดถึงกำไรสุทธิจากมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุน (FVTPL) ที่น้อยลงเพราะตลาดทุนที่ผันผวน แต่คาดว่ากำไรสุทธิจะโตขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จาก 1. NII ที่โตขึ้นเพราะ NIM ที่ขยายตัว และ การตั้งสำรองหนี้ฯ ที่ลดลง

BGRIM (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 42.00 บาท) ราคาหุ้นลดลงแรงตามกลุ่มสาธารณูปโภคเพราะบรรยากาศเชิงลบในอุตสาหกรรมที่อาจรวมถึงการปฏิรูปนโยบายพลังงานในอนาคต สืบเนื่องจากภูมิทัศน์ทางการเมืองไทยที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลง ราคาหุ้นลดลงมาซื้อขายกันที่ 33xPE24E หรือต่ำ -2.0SD ต่อค่าเฉลี่ย 5 ปี ซึ่งเราเชื่อว่าสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ทั้งนี้คาดว่ากำไรจะค่อย ๆ ฟื้นตัวตลอดทั้งปี 66

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.ค. 66)

Tags: ,
Back to Top