“ฮุนเซน” เย้ยฝ่ายค้านกัมพูชาฝันสลาย หลัง “พิธา” วืดนายกฯ

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนแห่งกัมพูชาเขียนข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวเมื่อวันพฤหัสบดี (13 ก.ค.) ว่า การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ผ่านการลงมติในรัฐสภาเพื่อก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยเมื่อวานนี้นั้น ถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของฝ่ายค้านกัมพูชา

“ผมไม่ได้แทรกแซงกิจการภายในของไทย แต่ประเด็นของผมคือ ที่ผ่านมากลุ่มผู้ทรยศเหล่านี้มักคาดหวังว่าเมื่อนายพิธาได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยแล้วจะสามารถใช้ไทยเป็นตัวอย่างในการต่อต้านราชอาณาจักรกัมพูชา แต่ขณะนี้ความคาดหวังของกลุ่มฝ่ายค้านได้สูญสลายไปเสมือนเกลือละลายน้ำ” นายกฯฮุนเซนกล่าว

ขณะเดียวกัน นายกฯฮุนเซนเตือนกลุ่มหัวรุนแรงในกัมพูชาว่า อย่าเล่นการเมืองด้วยการพึ่งพาคนอื่น

ต่อมาในวันนี้ (14 ก.ค.) นายกฯฮุนเซนได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์อีกครั้ง โดยระบุว่า ข้อความที่เขาโพสต์ผ่านทวิตเตอร์เมื่อวานนี้นั้นต้องการสื่อว่า การที่นายพิธาไม่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยเป็นความล้มเหลวสำหรับฝ่ายค้านหัวรุนแรงในกัมพูชา เพราะคนกลุ่มนี้ใช้นายพิธาและพรรคก้าวไกลในการหาเสียงในทำนองว่า หลังนายพิธาก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว พวกเขาจะทำตามอย่างไทย จนกระทั่งสถานีวิทยุต่างชาติในกัมพูชาระบุว่า เหล่าผู้นำกลุ่มหัวรุนแรงจะทำกับกัมพูชาเหมือนอย่างไทย โดยกลุ่มหัวรุนแรงนี้ได้เอ่ยชื่อนายพิธามาเกือบ 2 เดือนแล้วนับตั้งแต่ที่นายพิธาชนะการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม นายกฯฮุนเซนเน้นย้ำว่าตนไม่ได้ต่อต้านนายพิธาและไม่ได้แทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย เพียงแต่ต้องการส่งข้อความถึงกลุ่มหัวรุนแรงในกัมพูชาว่า ความปรารถนาของคนกลุ่มนี้ได้สูญสลายไปดั่งเกลือละลายน้ำ

นอกจากนี้ นายกฯฮุนเซนยังระบุด้วยว่า หลังจากที่ตนโพสต์ข้อความออกไปก็มีชาวไทยเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นภาษาไทยจำนวนมาก แต่เขาไม่เข้าใจความหมาย

อนึ่ง นายพิธาหัวหน้าพรรคก้าวไกลยังไม่สามารถก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้ หลังจากการลงมติครั้งแรกในรัฐสภาเมื่อวานนี้ได้คะแนนเสียงสนับสนุน 324 เสียง ไม่สนับสนุน 182 เสียง และงดออกเสียง 199 เสียง โดยถือว่าได้เสียงสนับสนุนไม่ถึงกึ่งหนึ่งที่ 375 เสียงของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด 750 คน

ด้านนายพิธาระบุว่า กำลังเตรียมวางยุทธศาสตร์รวบรวมเสียงสนับสนุนในการลงมติครั้งที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค.นี้

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ก.ค. 66)

Tags: , ,
Back to Top